มีเงินเท่าไหร่ถึงจะรอด ? IMF ชี้หนี้พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลก

มีเงินเก็บเท่าไหร่กันบ้าง สำรองฉุกเฉินอยู่ได้กันสักกี่เดือน
รีบเก็บตอนนี้ยังทัน เพราะมีคำเตือนออกมาแล้วว่า "หนี้กำลังจะท่วมโลก"
IMF บอกว่าเป็นวิกฤตหนี้สาธารณะที่สูงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วนคนไทยเราเองก็ต้องระวังความเสี่ยงปากท้องทุกด้าน
มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนเลยว่า ให้เราคนไทยทุกคนต้องมีเก็บเงินสดไว้เผื่อฉุกเฉินกันด้วย
ยิ่งฟรีแลนซ์ต้องมีเงินอย่างน้อย 12 เดือน
ข้อมูลคำเตือนจากทางสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เตือนคนไทยต้องเร่งสำรองเงินฉุกเฉิน
เพื่อรับมือความผันผวนเศรษฐกิจโลก จากผลกระทบสงครามการค้า
และแนะนำให้กระจายความเสี่ยงลงทุนในหลายสินทรัพย์ โดยเพิ่มทั้งเงินสด และสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯขอให้คำแนะนำประชาชนคนไทย
ให้วางแผนการเงินรับมือหลังจากต้องเผชิญเหตุแผ่นดินไหว และผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
จากสงครามการค้าที่สหรัฐในยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลก
รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทย
และซ้ำเติมการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวอยู่แล้ว
ทั้งนี้การวางแผนการเงินส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัวขนาดนั้น
ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตโควิด 19 ช่วงเกือบ 5-6 ปีที่ผ่านมา
หลายคนก็มีบทเรียนมาบ้างแล้ว ทำให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของการสำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน
โดยทางสมาคมแนะนำว่าตามหลักการแล้ว
หากคุณเป็น "มนุษย์เงินเดือน" ควรมีการสำรองเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นจำนวนเงิน 6 เดือนของเงินเดือน
แต่หากเป็น กลุ่มรายได้อิสระ หรือฟรีแลนซ์ ก็ต้องสำรองเงินจำนวน 12 เดือน ของค่าใช้จ่ายส่วนตัว
คุณวิโรจน์ ยังบอกอีกว่า ล่าสุดกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของประเทศไทย
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันวินาศภัยกับที่อยู่อาศัยมากขึ้น
ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม กรณีที่ผ่อนหมดแล้วและไม่ได้ทำประกันภัยไว้
แต่กรณีที่มีการผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน ให้กลับไปตรวจสอบว่าได้มีการทำประกันภัยไว้หรือไม่
และได้ครอบคลุมการคุ้มครองเหตุจากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวด้วยหรือเปล่า
นอกจากนี้ หลายคนเริ่มรู้สึกหรือเห็นความจำเป็นในการทำประกันชีวิตมากขึ้น
โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว คนที่ต้องรายได้หลักเข้าบ้าน
นอกจากนี้ปัจจัยด้านมหภาค นโยบายภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ ที่สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
รวมถึงประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยได้เกิดความผันผวนต่อภาวะการลงทุนทั้งตลาดหุ้น
และตลาดตราสารหนี้ ซึ่งหากมีการจัดพอร์ตการลงทุน
ในแบบกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) จะช่วยให้ลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
โดยการจัดพอร์ตการลงทุนในภาวะแบบนี้ แนะนำให้ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมลง
ด้วยการเพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ รวมถึงเงินสดให้มากขึ้น
เพราะหากราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงแรง หลังนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ
เริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีนี้
ย่อมเป็นโอกาสของการกลับไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงให้มากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ
ภายใต้แนวทางการจัดพอร์ตโดยกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์
ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมของตัวเอง
ทิ้งท้ายสมาคมฯ มีความเห็นว่า ในยุคแห่งความไม่แน่นอนขณะนี้
การวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่ช่วยมองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต
และพยายามป้องกันหรือลดความเสี่ยงเหล่านั้นในน้อยที่สุด
เพื่อไม่ให้กระทบกับทรัพย์สินหรือรายได้ที่พยายามหามา
คือ อุดรูรั่วให้หมดก่อนเติมน้ำให้เต็มนั้นเอง
ที่สำคัญ คือ ตอนนี้มีคำเตือนออกมาทั่้วโลก
จากแทบทุกฝ่าย ทุกหน่วยงาน
เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลกกำลังก่อตัวขึ้น จากนโยบายของทรัมป์ 2.0
โดยเฉพาะหนี้สาธารณะของโลกที่จะพุ่งขึ้นอย่างแรง จากคำเตือนของไอเอ็มเอฟ
โลกกำลังอยู่ในความเสี่ยง นับจากสงครามโลก มาสู่สงครามการค้า
ข้อมูลจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ระบุว่า
ภายในอีก 2 ข้างนี้ หรือภายในปี 2027 หนี้ทั่วโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นไปแตะเกิน 117%
ในกรณีที่สถานการณ์นั้นเลวร้ายอย่างรุนแรง รายได้และผลผลิตทางเศรษฐกิจลดลงมากกว่าการคาดการณ์ไว้
จากภาษีนําเข้าที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอลง
และ IMF ระบุว่านี่คือ ตัวเลขสัดส่วนหนี้ที่สูงที่สุดของจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
นับตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
"ภาษีทรัมป์" คือ ตัวเปลี่ยนเกม
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกคำเตือนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
ภาษีนําเข้าใหม่ของสหรัฐฯ และการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
จะผลักดันให้หนี้สาธารณะสูงกว่าระดับในช่วงการระบาดใหญ่ โควิด 19
โดยจะเข้าใกล้ 100% ของจีดีพีในประเทศทั่วโลกภายในสิ้นทศวรรษนี้
รายงานล่าสุดของ IMF คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2.8 % เป็น 95.1%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศทั่วโลกในปี 2025 และจะแตะระดับ 99.6% ภายในปี 2030
ย้อนกลับไปในปี 2020 หนี้สาธารณะทั่วโลกพุ่งสูงสุดที่ 98.9% ของจีดีพี
เนื่องจากการกู้ยืมจํานวนมากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 และผลผลิตที่หดตัว
หนี้ลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ภายในสองปี แต่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นมา
IMF ระบุว่าการประกาศขึ้นภาษีครั้งใหญ่โดยสหรัฐฯ มาตรการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ
และระดับความไม่แน่นอนของนโยบายที่สูงเป็นปัจจัยที่ทําให้สถานการณ์แย่ลง
รายงานยังระบุว่ารัฐบาลต่างๆ เผชิญกับการแลกเปลี่ยนที่ท้าทายมากขึ้น
โดยงบประมาณถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่สูงขึ้น
ความต้องการการสนับสนุนทางสังคมที่เพิ่มขึ้น
และต้นทุนการชําระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งอาจเพิ่มขึ้นพร้อมกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
รายงานคาดการณ์ว่าการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจะเฉลี่ยที่ 5.1%
ของจีดีพีในปีนี้ (2025 ) เพิ่มขึ้นจาก 5.0% ในปี 2024, 3.7% ในปี 2022 และ 9.5% ในปี 2020
IMF ย้ําคําแนะนําให้ประเทศต่างๆ ให้ความสําคัญกับการลดหนี้สาธารณะ
เพื่อช่วยสร้างกันชนทางการคลังต่อความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในอนาคต
ซึ่งจะต้องมีความสมดุลทางนโยบายที่ละเอียดอ่อน
แนะนําว่าประเทศที่มีพื้นที่งบประมาณจํากัดควรดําเนินแผนการรวมตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและน่าเชื่อถือ
และปล่อยให้กลไกรักษาเสถียรภาพอัตโนมัติ เช่น สวัสดิการการว่างงาน
ทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังแนะนําว่าความต้องการใช้จ่ายใหม่ใดๆ
ควรได้รับการชดเชยด้วยการตัดการใช้จ่ายในที่อื่นหรือรายได้ใหม่
IMF ยังได้หั่นประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงเหลือ 2.8%
จากเดิม 3.3% สำหรับปีหน้า ก็ปรับเหลือ 3% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 3.3%
สาเหตุจากภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจแทบทุกประเทศ
อ้างอิงจากรายงานทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook)
ฉบับล่าสุดของ IMF ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568
และล่าสุด IMF ก็ได้หั่นหรือปรับลดการเติบโตของจีดีพีไทยในปีนี้ลงไปด้วยเช่นกัน
จากเดิม 2.9 % เหลือเพียงแค่ 1.8%
ทำให้ส่งผลให้ไทยเราเสี่ยงเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตต่ำที่สุด
รั้งท้ายในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาของเอเชียในปีนี้ ฃ
ดังนั้นกลับมาที่คำถามแรกอีกที ตอนนี้คุณมีเงินเก็บสำรองฉุกเฉินหรือยัง มีพอสำหรับกี่เดือน ?