เมื่อเทคโนโลยีทัน แต่อาชญากรล้ำกว่า รัฐไทยไล่ทันหรือยัง?

ในวันที่ภัยคุกคามไม่ได้มาในรูปแบบปืนหรืออาวุธ หากแต่มาในรูปแบบของสายโทรศัพท์และข้อความปลอม การหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้กลายเป็นปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ที่ขยายตัวข้ามพรมแดน และส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนอย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความเชื่อมั่นต่อรัฐ การขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกเพื่อรับมือกับขบวนการเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานไม่อาจรอช้า
วางกลไกหลายมิติ รุกปราบทั้งระบบ
การประชุมขับเคลื่อนงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2568 นำโดย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สะท้อนถึงความพยายามของหน่วยงานไทยในการผนึกกำลังข้ามกระทรวง ข้ามสายงาน และข้ามพรมแดน โดยมีทั้งกระทรวงหลัก เช่น มหาดไทย, ดิจิทัลฯ, พม., แรงงาน ไปจนถึงองค์กรระดับโลกอย่าง UNODC เข้าร่วม
ภายในที่ประชุมมีการแบ่งบทบาทให้แต่ละกระทรวงรับผิดชอบเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเหยื่อ การป้องกันอาชญากรรม หรือการสืบสวนดำเนินคดี โดยทั้งหมดจะถูกผลักดันให้เดินหน้าร่วมกันแบบ “หลายมิติเข้าหากัน” แทนที่จะทำงานแยกส่วนอย่างในอดีต
ขยายฐานการข่าว-บีบพื้นที่ปฏิบัติการ
พล.ต.อ.ธัชชัย ระบุว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปัจจุบันไม่อาจจำกัดอยู่แค่ในประเทศไทยอีกต่อไป เพราะหลายขบวนการมีรากฐานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หรือกระทั่งในพื้นที่อินเทอร์เน็ตที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยกฎหมายไทย จำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง UNODC รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศพันธมิตร เพื่อสร้างเครือข่ายการข่าวและบีบพื้นที่ปฏิบัติการของอาชญากรให้แคบลงทุกด้าน
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือการป้องกันไม่ให้แก๊งเหล่านี้ย้ายฐานปฏิบัติการกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายและขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เป็นจุดอ่อนในการก่อเหตุ
เตรียมประชุมตำรวจสากล ลุยจับมือประเทศเพื่อนบ้าน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมตำรวจสากลช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งประเด็นหลักคือการปราบปรามอาชญากรรมจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะเป็นเวทีเปิดหน้าพูดคุยกับประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการ วางแนวทางแลกเปลี่ยนข้อมูล และสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับขบวนการนี้ในทุกระดับ
การประชุมครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับปฏิบัติการจาก “การไล่ล่า” ไปสู่ “การปิดล้อม” แก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งในเชิงพื้นที่และเชิงกฎหมาย
เทคโนโลยี-กฎหมาย-สังคม ต้องเดินไปด้วยกัน
การต่อสู้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้เป็นภารกิจเฉพาะของตำรวจหรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่เป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยการประสานของเทคโนโลยีที่ทันสมัย กฎหมายที่แข็งแรง และสังคมที่ตื่นรู้ การใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรม การขยายฐานระบบเตือนภัย รวมถึงการปลูกฝังความรู้ให้ประชาชนรู้เท่าทันจึงเป็นสามเสาหลักของการขับเคลื่อนในครั้งนี้
เมื่อโลกออนไลน์ไม่เคยหยุดเดิน ขบวนการหลอกลวงก็ไม่หยุดพัฒนาเช่นกัน การประชุมครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการหารือเชิงนโยบาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการรุกกลับครั้งใหญ่ ที่ไม่เพียงไล่ตามอาชญากรให้ทัน แต่ต้องก้าวให้ไกลกว่าให้ได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
