เจ้าสัวธนินท์ จี้รบ.คิดใหม่ แนะ ออกบอนด์ 30 ปี 10 ล้านล. ฟื้นประเทศ
เจ้าสัวธนินท์ จี้รบ.คิดใหม่ แนะ ออกบอนด์ 30 ปี 10 ล้านล. ฟื้นประเทศ ให้นักธุรกิจไทยกู้สู้โควิด อีอีซีไม่คืบ-ต้องเพิ่มแรงจูงใจ หนุนเปิดประเทศดึงทัวร์นอก บริหารศก.ให้เหมือนโควิด เชียร์ ‘สุพัฒนพงษ์’ เข้าท่า
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่ตึกทรู ทาวเวอร์ รัชดาภิเษก นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/2563 และให้มุมมองต่อเศรษฐกิจไทยปี 2564 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 4จะดีกว่า 2 ไตรมาสที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เป็นการปรับตัวดีขึ้นมาก เนื่องจากการท่องเที่ยวยังไม่เกิดแต่การสนับสนุนให้คนไทยเที่ยวไทยเริ่มดีขึ้น การจับจ่ายดีขึ้น แต่มาตรการจริงๆ ที่จะออกมาให้เป็นภาพใหญ่ ต้องเข้าใจก่อนว่าตอนนี้ไทยมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ซึ่งมาตรการสนับสนุนให้คนไทยเที่ยวไทยที่ออกมายังมีการจำกัด แต่ยังดีกว่ารับบาลไม่ดำเนินการเลย
นายธนินท์ กล่าวว่า ตอนนี้ไทยยังมีภาพรวมที่ดีกว่าหลายประเทศ แต่ถ้าเทียบกับประเทศจีน ตอนนี้จีนนำหน้าไปแล้วหลายก้าว เพราะตลาดจีนยิ่งใหญ่มาก ซึ่งประเทศจีนก็มีการสนับสนุนให้เที่ยวในประเทศ แต่ด้วยจำนวนประชากรจีนมีมากกว่าไทย และโดยปกติแล้วคนจีนจำนวนมากจะออกไปเที่ยวทั่วโลก เมื่อทางประเทศจีนกำหนดให้เที่ยวได้แค่ในประเทศทำให้เงินที่กระจายไปทั่วโลกมากระจุกอยู่ในประเทศจำนวนมหาศาล จึงส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) เป็นบวก ถึงจะไม่มากเท่าช่วงปกติ
นายธนินท์ กล่าวอกีว่า ตอนนี้จีนเปิดให้มีการทำการบินโดยไม่ต้องเว้นที่นั่งแล้ว แต่ต้องสวมหน้ากากตลอดเที่ยวบิน แต่ก็ยังมีประชาชนจีนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ใช้ระบบสาธารณะ แต่ไปวื้อรถยนต์ส่วนตัวเลยกลายเป็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ขายดีขึ้น มีการเช่ารถส่วนตัวมากขึ้น จึงส่งผลให้ธุรกิจรถเช่าในจีนเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังสนับสนุนให้คนจีนเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มวันหยุดวันชาติปีนี้เป็น 7 วัน ซึ่งมองว่าจะสร้างเงินสะพัดในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก
นายธนินท์ กล่าวว่า ส่วนประเทศไทยจะสถิติการซื้อสินค้าใน ไอคอนสยาม พบว่ามีกลุ่มเศรษฐี หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อ เข้ามาซื้อของแบรนด์เนม หรือของที่มีมูลค่าสูงเป็นจำนวนมาก เพราะไม่สามารถออกนอกประเทศได้ รวมถึงมีบางกลุ่มที่ใช้โอกาสนี้ในการซื้อสินค้าตามออเดอร์ออนไลน์และส่งไปยังประเทศต่างๆ แต่หากเทียบการใช้จ่ายระหว่างจีนกับไทย ยังมีความแตกต่างอยู่มาก เพราะจีนมีความเข้าใจ 2 สูง คือ เงินเดือนสูง ราคาสูง มีเงินจับจ่ายมากขึ้น การผลิตมากขึ้น และปล่อยอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้น การสร้างเมืองเล็กให้กระจายขึ้น ซึ่งจีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ แต่เรียนรู้ได้เร็วกว่าหลายประเทศ เพราะจีนพร้อมที่เปิดรับธุรกิจที่หลากหลายยิ่งรายใหญ่ยิ่งดี เพราะสามารถตรวจสอบข้อมูลจะระบบออนไลน์ได้ จึงหนีภาษีไม่ได้ รวมถึงมีความโปร่งใสสูงอีกด้วย
นายธนินท์ กล่าวว่า ส่วนโอกาสของไทยในการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจต่อนั้น มองว่าอยู่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะบริหารเศรษฐกิจอย่างไร หากบริหารเศราบกิจเหมือนบริหารสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าเมืองไทยจะโตอย่างก้าวกระโดดทันที เพราะว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องแก้ไขอย่างรวดเร็วเช่นกัน เสนอว่าให้นำเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มาพัฒนาออกกฎระเบียบ และกฎหมายพิเศษในกับนักลงทุน แต่ที่รัฐบาลขับเคลื่อนอยู่นี้ยังไม่เห็นความคืบหน้าทุกอย่างยังเป็นแบบเก่าๆ อาทิ ต้องยื่นขอการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เป็นต้น
“สำหรับการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลรอบนี้ ที่ดึงนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มาร่วมงานถือว่าไม่ธรรมดาเพราะมีความรู้จริงแถมปฏิบัติได้ด้วย พร้อมทั้งยังเข้าใจจริงผ่านงานมาหลายหน้าที่ นำคนแบบนี้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีถือว่าเข้าท่า ผมเชียร์นะแล้วหวังว่าผมจะไม่เชียร์ผิดคน” นายธนินท์ กล่าว
นายธนินท์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการพัฒนาอีอีซีมองว่าเงื่อนไขยังไม่โดนใจ และมองว่าการอีอีซีต้องเหนือข้อกำหนดของบีโอไอขึ้นไป ไทยต้องวัดตัวตัดสูทว่าเราจะนำนักลงทุนประเภทไหนมาลงทุนในเมืองไทย ไม่ได้ปล่อยให้เขามาขอมองว่าหมดยุคแล้ว ไม่มีใครอยากเข้ามาขอลงทุนในประเทศแล้ว เพราะตอนนี้หลายประเทศเริ่มแย่งกันดึงนักลงทุนแล้ว อาทิ สิงคโปร์ เวียดนาม และโปรตุเกส ซึ่งประเทศโปรตุเกสมีเงื่อนไขว่าหากผู้ใดมีพาสปอตและไปซื้อบ้านในประเทศเข้า ก็จะทำสัญชาติโปรตุเกสให้เลย ซึ่งกลุ่มที่ไปขอเปลี่ยนสัญชาติส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนมีเงินทำให้ตอนนี้เศรษฐกิจโปรตุเกส พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
นายธนินท์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข คือ ในเรื่องของข้อกำหนดทางกฎหมายของอีอีซี อย่าคิดเอง รัฐต้องเชิญนักธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อประเทสเข้ามา โดยไทยต้องเดินสายไปถามนักลงทุนเหล่านั้นว่าต้องการอะไรถึงจะมาลงทุนในไทย อาทิ ธุรกิจเกี่ยวกับหุ่นยนต์อัจฉริยะ รถยนไฟฟ้า (อีวี) ยา และไบโอเทคโนโลยี เป็นต้น มองว่าหากรับเร่งปรับตัวยังทัน ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีดึงนักลงทุน โดยยุคนี้ต้องไปง้อให้นักธุรกิจเหล่านั้นมาลงทุนกับไทยให้ได้ หากอยากได้ของดีไทยก็ต้องพยายามหาอยู่เฉยๆ จะได้ของดีได้อย่างไร โดยจะต้องมีการปรับเงื่อนไขเพื่อเอื้อนักลงทุน การเอื้อเขาก็เท่ากับเอื้อประโยชนืประเทศเช่นเดียวกันเพราะเราได้ภาษี ได้เทคโนโลยีใหม่ๆการสร้างบุคคลากรให้เก่งขึ้น หลายคนกลัวว่ากลุ่มทุนเหล่านี้จะมาแย่งอาชีพคนไทย แต่ต้องมองกลับไปว่าคนไทยมีอะไรให้แย่งบ้าง เพราะกลุ่มทุนเหล่านี้คู่แข่งของเขา อาทิ ซีพี เอสซีจี ไทยเบฟ และคิงพาวเวอร์ เป็นต้น ซึ่งล้านแต่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ถ้าไทยจะดึงให้เข้ามาแข่งกับธุรกิจขนาดเล็กเขาไม่เอานักลงทุนส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องการเข้ามาแข่งขันทั้งนั้น
นายธนินท์ กล่าวว่า ส่วนเงื่อนไขที่เหลือกว่าบีโอไอ อาทิ หากนักลงทุนสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้รัฐอาจให้สิทธิ์การเป็นคนไทย แต่ไม่ใช่ว่าทุกประเทศทำได้มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ เพราะหลายประเทศต้องการที่จะเข้ามาอยู่ประเทศไทย เนื่องจากติดใจในวัฒนธรรมไทย เหมือนครอบครัวของตนที่มาจากจีนถึงแม้ครอบครัวจะเป็นคนจีนแต่ตนเกิดในประเทศไทยเวาลไปไหนก็บอกว่าเป็นคนไทย เพราะเมืองไทยให้โอกาสตนในการทำธุรกิจให้ใหญ่โตขึ้น ซึ่งปัจจุบันซีพีมี 22 ธุรกิจในต่างประเทศ การค้าไปกว่า 100 ประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการตอบแทนประเทศไทย
นายธนินท์ กล่าวว่า ส่วนการเติบโตของธุรกิจอาหารของซีพี ตอนนี้ในหลายประเทศยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ อาทิ จีน อเมริกา และไทย เป็นต้น เพราะซีพีขายของดีราคาถูก แม้แต่เศรษฐีก็ต้องการของดีราคาถูก ดังนั้น ในยุค 4.0 เราต้องพยายามพัฒนาสินค้าให้มีราคาถูกลงคุณภาพดีขึ้นจึงจะเหมาะสมกับ 4.0 อย่าคิดว่ายิ่งใช้เทคโนโลยีต้นทุนยิ่งแพง ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ว่ายิ่งใช้เทคโนโลยีต้นทุนยิ่งถูก ของคุณภาพยิ่งดี ประสิทธิภาพสูง
นายธนินท์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยเปรียบเทียบว่า เศรษฐกิจไทยเหมือนช่วงเวลา 4-5 โมงเย็น ตอนนี้ยังมืดอยู่แต่เชื่อว่าเศราบกิจไทยจะกลับมาสว่างแน่นอน จะเร็วหรือช้า เราต้องเตรียมรับมือเพราะมันต้องสว่างแน่นอน มีที่ไหนพระอาทิตย์ตกแล้วไม่ขึ้น คาดไทยจะกลับมาฟื้นเร็วสุดใช้เวลาเพียง 1 ปี เท่านั้น ลองนำเศรษฐีมาซื้อบ้านที่ประเทศไทยประมาณ 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 30 ล้านบาท หรือเท่ากับ 2 เท่า ของงบประมาณประเทศไทย มองว่าการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาอยู่ในไทยไม่เสียหาย ไม่ดูเป็นการขายชาติ เพราะต่างชาติเหล่านี้นำเงินมาใช้จ่าย และสร้างงานที่ไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น แต่ยังติดอยู่ในเรื่องของการเปิดประเทศ หากไทยดึงสาร์ทอัพหรือคนเก่งเข้ามาพักมาลงทุนในไทย 5 ล้านคน ออกกฎหมายให้กองทุนให้กับสตาร์ทอัพมาจดทะเบียนในเมืองไทย ไม่ได้ไปจดที่สิงคโปร์ ฮ่องกง มองว่าไทยต้องไปถามสตาร์ทอัพว่าต้องการอะไรแล้วให้สิทธิประโยชน์เหล่านั้น
นายธนินท์ กล่าวว่า ส่วนมาตรการที่รัฐบาลออกมาล่าสุดเกี่ยวกับการดึงคนมีเงินซื้อสินค้าไทย โดยการลดหย่อนภาษี นั้น มองว่าจะช่วยได้ชั่วคราวเท่านั้น มองว่าไทยลดได้ประเทศอื่นก็ลดได้คนอื่นไม่มีภาษี มองว่าต้องคิดอย่างยั่งยืน กระตุ้นการซื้อในประเทศอย่างเดียวไม่พอ เสนอให้รัฐบาลออกบอนด์ในประเทศ 30 ปี กู้มา 10 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ย 0.5% มาปล่อยกู้ให้นักธุรกิจไทยที่ชำระหนี้ดีมาโดยตลอด ที่เจอวิกฤตโควิดจนอาจถึงขั้นล้มละลาย เพื่อให้คนกลุ่มนี้อยู่รอด มองว่าพวกนี้มีฝีมืออยู่แล้ว ตอนนี้ไทยยังเครดิตดีอยู่ทำไมไม่ใช้เครดิตเหล่านี้กู้เงินมาช่วยกลุ่มที่มีปัญหาก่อน เชื่อว่าโควิด-19 หายแน่นอน ไม่เช่นนั้นทุกประเทศเสียหายหมด ฉะนั้น ประเทศไทยไม่ต้องรอต้องเปลี่ยนเลย
นายธนินท์ กล่าวว่า ส่วนในปี 2564 ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาแทบทุกด้าน แต่ต้องมองว่า ในปัญหาที่ต้องเจอนั้น จะมีโอกาสอะไรตามมาบ้าง โดยต้องหาคิดถึงการปรับเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส ไม่ใช่คิดเพียงแค่การนำเงินไปช่วยเหลือและเยียวยาเท่านั้น แต่ต้องคิดในแง่การหาเงินด้วย ว่าจะหาเงินมาจากวิธีใดได้อีกบ้าง เพราะปัญหาหนักๆ ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เจอแล้ว และสามารถผ่านมาได้แล้ว ซึ่งขณะมองว่า หากรอจนโควิด-19 จบลงจะไม่ทันเหตุการณ์ เพราะอาจสายไปแล้ว โดยต้องใช้โอกาสในช่วงที่โควิด-19 ยังไม่จบ ในการประชาสัมพันธ์และแสดงจุดยืนในเรื่องความปลอดภัยในด้านสาธารณสุข และด้านสุขอนามัย สะท้อนได้จากการที่ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ไม่กี่รายเท่านั้น จากจำนวนทั้งหมด รวมถึงในขณะนี้ก็ไม่มีการติดเชื้อรายใหม่ในประเทศ พบการติดเชื้อนอกประเทศกลับเข้ามาเท่านั้น ต้องประชาสัมพันธ์ออกไปว่า โรงพยาบาลไทยดีมากเท่าใด บุคลากรทางการแพทย์เก่งมากเท่าใดอุปกรณ์ ทางการแพทย์มีความทันสมัยมากน้อยอย่างไร ต้องรีบประชาสัมพันธ์สิ่งเหล่านี้ให้เร็วที่สุด และภาครัฐจะต้องไม่ฟังเสียงข้างใดข้างหนึ่ง จะต้องเลือกฟังเสียงคนส่วนใหญ่แทน เพราะบางเสียงก็อาจเป็นเสียงที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว
นายธนินท์ กล่าวต่อว่า ในด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ขณะนี้ต้องยอมรับว่า กฎหมายในประเทศไม่เอื้อให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก อาทิ โครงการอีอีซี ซึ่งมองว่าการลงทุนในโครงการอีอีซี รัฐบาลจะต้องสร้างกฎหมายขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ไม่ใช่ยึดกฎหมายรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศ เพราะมีความแตกต่างกัน