รีเซต

ไทยตั้งเป้า “Net Zero” เร็วขึ้น จากปี 2065 เป็น 2050 ใครเร็วก่อน ได้เปรียบกว่า!

ไทยตั้งเป้า “Net Zero” เร็วขึ้น จากปี 2065 เป็น 2050 ใครเร็วก่อน ได้เปรียบกว่า!
TNN ช่อง16
9 ตุลาคม 2568 ( 11:30 )
2

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ ระบุว่า รัฐบาลวางรากฐานเศรษฐกิจใหม่ผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่

  1. รีเซตเศรษฐกิจ อัดฉีดเงิน 1 แสนล้านบาทผ่านคนละครึ่งพลัสและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์และ Clean Technology
  2. รีเซตศักยภาพ เร่งให้เศรษฐกิจไทยแซงเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม เพื่อไม่ให้ไทยตามหลังในภูมิภาคอินโดจีน
  3. รีเซตความมั่นคงและนิติธรรม ยกเครื่องมาตรฐานสากล ปราบปรามยาเสพติด พนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และทุจริตคอร์รัปชัน
  4. รีเซตสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล มุ่งสู่ Net Zero 2050 (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็น 0 ภายในปี พ.ศ. 2593) เพื่อให้สินค้าไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลต้องการพลังจากทุกภาคส่วนให้ไทยกลับมาเป็นหนึ่งในภูมิภาค และปรับตัวทันโลกคาร์บอนต่ำ การปรับเป้าหมาย Net Zero จากเดิมปี 2065 มาเป็นปี 2050 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศไทย ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้ทันโลก ลดความเสี่ยงถูกตัดออกจากวงจรการค้า โดยเฉพาะจากบริษัทและประเทศกว่า 100 แห่งที่มีเป้า Net Zero 2050

การขยับเป้าหมาย Net Zero ไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องความอยู่รอดของอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก หากไทยยังคงเป้าหมายเดิม จะทำให้ช้ากว่ากว่า 111 ประเทศ เสี่ยงหลุดจากวงจรการค้าโลก บริษัทและประเทศกว่า 100 แห่งตั้งเป้า Net Zero 2050 หากไทยไม่ปรับตัว สินค้าและบริการไทยจะเสียเปรียบ


ผลกระทบเชิงบวกต่อภาคอุตสาหกรรมมีหลายด้าน กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซ เช่น พลังงานหมุนเวียน, การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ, รถไฟฟ้า, การจัดการของเสีย, วัสดุชีวภาพ, เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ, เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน มีแนวโน้มเติบโตสูง ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนสูง เช่น โรงไฟฟ้าฟอสซิล น้ำมันและก๊าซ เหล็ก ซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ และรถยนต์น้ำมัน จะเผชิญแรงกดดันมากขึ้น ทั้งภาษีคาร์บอนและระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอน


หลายบริษัทไทยเริ่มปรับตัวแล้ว เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) วางโรดแมปลดคาร์บอนสู่ Net Zero 2050 พร้อมเป้าระยะใกล้ภายในปี 2030 ลด Scope 1-2 ร้อยละ 42 และ Scope 3 ร้อยละ 25 ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน การใช้ไบโอแมส ไบโอแก๊ส และยานยนต์พลังงานสะอาด

ภาครัฐยังสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยโครงการ Digital Grow Green ให้ผู้ประกอบการกว่า 400 ราย บันทึกและวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อวางแผนลดการปล่อยก๊าซ และเตรียมสตาร์ทอัพด้านสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมเป็นพันธมิตร


อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกชี้ว่า ไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากน้ำท่วม อากาศร้อนจัด ขาดน้ำ และการกัดเซาะชายฝั่ง หากไม่ปรับตัว GDP อาจลดลง 7–14% ภายในปี 2593 ขณะที่การลงทุนเพื่อปรับตัวและลดการปล่อยก๊าซตลอด 25 ปีข้างหน้า ต้องใช้ประมาณ 2.19 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 2.4 ของ GDP


อย่างไรก็ดี การลงทุนอย่างชาญฉลาด เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด การส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์สีเขียว และเทคโนโลยีสีเขียว จะช่วยสร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของไทยในโลกคาร์บอนต่ำ


นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การขับเคลื่อน Net Zero 2050 ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้ไทยสามารถก้าวทันโลก และสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนสำหรับอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง