บทความคิดเห็น : วาทะ 'ไบเดน' แถลงนโยบายประจำปี หลีกหนีความจริง
ปักกิ่ง, 15 ก.พ. (ซินหัว) -- เมื่อไม่นานนี้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้นำเสนอบางประเด็นอันตรงข้ามกับความจริงอย่างสิ้นเชิงระหว่างการแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภาสหรัฐฯ โดยไบเดนพยายามปลุกกระแส "ภัยคุกคามจากจีน" เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนความนิยม ขณะโอ้อวดความสำเร็จนับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ เช่น "วันนี้ เราอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายทศวรรษในการแข่งขันกับจีนหรือทุกประเทศทั่วโลก" และ "ชัยชนะในการแข่งขันกับจีนควรรวมเราเป็นหนึ่งเดียวกัน"
ทว่าหากพิจารณาสภาพความเป็นจริงในสหรัฐฯ แล้ว ความหมกมุ่นกับการจำกัดยับยั้งการเติบโตของจีนนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง และการที่ไบเดนโอ้อวดความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคมของคณะบริหารภายใต้การนำของเขาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รังแต่จะสร้างความเบื่อหน่ายชวนส่ายหัวในยามที่ผู้คนทั่วสหรัฐฯ กำลังรู้สึกติดลบกับสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน
ผลสำรวจของวอชิงตัน โพสต์-เอบีซี นิวส์ พบชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าไบเดนสร้างผลงานมากนักหลังนั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ โดยชาวอเมริกันร้อยละ 41 บอกว่าฐานะการเงินของพวกเขาย่ำแย่ลงภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีคนนี้ ด้านผลสำรวจจากเอ็นพีอาร์/มาริสต์ พบชาวอเมริกัน 7 ใน 10 คน มองว่าสหรัฐฯ "เดินผิดทาง" และคะแนนนิยมในตัวไบเดนอยู่ที่ร้อยละ 41 ซึ่งใกล้แตะระดับต่ำสุดระหว่างการดำรงตำแหน่ง
ประธานาธิบดีไบเดนพยายามโน้มน้าวใจผู้คนทั้งในและนอกรัฐสภาว่าสหรัฐฯ ได้เรียกคืนอิทธิพลระดับโลกกลับมาแล้ว แม้สาธารณชนชาวอเมริกันกำลังเสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยสาเหตุจากการบริหารประเทศอันไร้ประสิทธิภาพและระบบทุจริตฉ้อฉล เฉกเช่นเดียวกับทั่วโลกที่กำลังสูญสิ้นความเชื่อมั่นในสหรัฐฯ เหมือนกัน
เหล่าผู้มีอำนาจตัดสินใจในรัฐบาลสหรัฐฯ แลดูสบายใจกับการปล่อยปละละเลยการแก้ไขสารพันปัญหา ส่วนการเลือกตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรอันยืดเยื้อกลายเป็นจุดย้ำเตือนชัดเจนว่าบรรดานักการเมืองสหรัฐฯ เอาแต่เล่นการเมืองแบบแบ่งพรรคแบ่งพวก
ขณะชาวอเมริกันต้องดิ้นรนกับปัญหาช่องว่างความรวยจนที่ถีบกว้างไม่หยุดหย่อน ความแตกแยกทางสังคม ความรุนแรงจากอาวุธปืนและตำรวจ อาชญากรรมความเกลียดชัง และการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
สหรัฐฯ ในฐานะประเทศมหาอำนาจทรงอิทธิพลสูงสุดของโลก นอกจากไม่แยแสจะแก้ไขสารพัดปัญหาภายในบ้านแล้ว กลับยังผลาญเวลาสุมไฟความขัดแย้งนอกบ้าน โดยไบเดนพยายามจุดประเด็นภัยคุกคามจากจีนและลดความสำคัญของโอกาสในการเติบโตของจีน
ทว่าความจริงนั้นสวนทางกับคำพูดเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 4.5 ระหว่างปี 2020-2022 แซงหน้าค่าเฉลี่ยของโลกที่ร้อยละ 1.8 และสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ขณะที่นับตั้งแต่ต้นปีนี้ เศรษฐกิจจีนมีผลการดำเนินงานน่าประทับใจด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากปรับปรุงมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของประเทศ
กอปรกับดำเนินนโยบายส่งเสริมการเติบโตอย่างทันท่วงทีบรรดาสถาบันระหว่างประเทศปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2023 เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้เป็นร้อยละ 5.2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.4 ของการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ด้านไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่ากลุ่มนักลงทุนทั่วโลกซื้อขายหุ้นจีนสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.15 แสนล้านบาท) ในปีนี้ เนื่องด้วยตัวเลขเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งกระตุ้นนักเล่นหุ้นกล้าเดิมพันเพิ่มขึ้น
การโจมตีจีนของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจยามเกิดข้อผิดพลาดนั้นถือเป็นอุบายทางการเมืองทั่วไป โดยไบเดนและพวกพ้องกำลังทำตามสูตรเก่า โดยเฉพาะช่วงที่การแสดงความเป็นปรปักษ์กับจีนสามารถเรียกเสียงสนับสนุนจากทุกพรรคการเมืองในสหรัฐฯ
หนังสือ "ไร้สมดุล : การพึ่งพาอาศัยของอเมริกาและจีน" (Unbalanced: The Codependency of America and China) ของสตีเฟน โรช อาจารย์และวิทยากรอาวุโสประจำมหาวิทยาลัยเยล ระบุว่าจีนกลายเป็นแพะรับบาปต่างชาติตัวโปรดของสหรัฐฯ และทำให้สหรัฐฯ สามารถรับบทเหยื่อผู้ถูกทำร้าย
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าสหรัฐฯ จะเล่นเกมต่อต้านจีนดีเพียงใด นานาปัญหาที่ฝังรากลึกของอเมริกาจะยังคงอยู่ ทั้งหนี้สินล้นพ้นตัวในประเทศ ค่าครองชีพพุ่งสูง และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นสภาวะการณ์ที่เหล่านักวางนโยบายของสหรัฐฯ ต้องหันกลับไปแก้ไขอย่างจริงจังเพื่อประชาชน
ไบเดนระบุว่าสหรัฐฯ "ต้องเป็นประเทศดีที่สุดแบบที่เคยเป็นมา" ระหว่างกล่าวแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา ทว่าการฟอกขาวทางการเมืองนั้นชักนำสู่ความเข้าใจผิดอย่างน่าหวาดหวั่น และการปลุกปั่นความหวาดกลัวรังแต่จะนำมาซึ่งการตัดสินใจผิดพลาดสำหรับมิติของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ แล้ว
การพยายามจำกัดยับยั้งสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายในการพัฒนาของอีกประเทศด้วยนามของการแข่งขันนั้นไร้ซึ่งความรับผิดชอบ โดยความก้าวหน้าไม่ว่าเป็นของจีนหรือสหรัฐฯ ล้วนเป็นโอกาสแก่อีกฝ่ายมากกว่าความท้าทาย และโลกกว้างใหญ่เพียงพอสำหรับสองประเทศที่จะพัฒนาแบบเอกเทศและแบบรวมกันสหรัฐฯ ในฐานะประเทศทรงอิทธิพลสูงสุดของโลก ควรแสดงความรับผิดชอบให้สมกับเป็นประเทศใหญ่ นั่นคือการริเริ่มแก้ไขสารพันปัญหาของตัวเอง
(แฟ้มภาพซินหัว : โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ วันที่ 27 ต.ค. 2022)
(แฟ้มภาพซินหัว : ชายถือป้ายประท้วงเหตุความรุนแรงจากปืน บริเวณศาลากลางเมืองมอนเทอร์เรย์ พาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ วันที่ 23 ม.ค. 2023)
(แฟ้มภาพซินหัว : สถานีตู้คอนเทนเนอร์เชียนวานของท่าเรือชิงเต่า เมืองชิงเต่า มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน วันที่ 27 ม.ค. 2023)
(แฟ้มภาพซินหัว : ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ วันที่ 22 มิ.ย. 2022)