ผู้ป่วยในบ้านพักคนชราเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 32% ในปี 2020
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า หน่วยงานด้านสุขภาพและการบริการมนุษย์ของสหรัฐอเมริการายงานว่าการเสียชีวิตในหมู่ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลในบ้านพักคนชราเพิ่มขึ้นถึง 32% เมื่อปี 2020 และพบอีกว่า ราว 4 ใน 10 ของผู้ที่ต้องรับการรักษาพยาบาลในบ้านพักคนชราติดเชื้อหรืออาจติดเชื้อโควิด-19 ในปี 2020 และจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดเพิ่มขึ้นถึง 169,291 รายจากปี 2019 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ผู้สืบสวนใช้วิธีการที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในการประมาณการการเสียชีวิต ส่วนเกินในกลุ่มคนหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติ โดยไม่ได้ตรวจสอบใบมรณะบัตรของผู้ป่วยเหล่านั้น แต่ใช้การเปรียบเทียบการเสียชีวิตโดยรวมระหว่างผู้ที่อยู่ในบ้านพักคนชรากับจำนวนที่มีการบันทึกไว้ในปีที่แล้ว
ทั้งนี้เทคนิคดังกล่าวเคยใช้เพื่อประเมินการเสียชีวิตในเปอร์โตริโกหลังจากพายุเฮอริเคนมาเรียในปี 2017 และในมหานครนิวยอร์กหลังจากการระบาดของโควิด-19 ครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนมีนาคมของปีก่อน โดยไม่ได้ระบุสาเหตุการตายและถูกใช้เป็นมาตรวัดความเสียหายหลังเกิดเหตุการณ์นั้นๆ
ในปี 2020 อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นทุกเดือนเมื่อเทียบกับปี 2019 โดยในเดือนเมษายนปี 2020 ผู้ป่วยในบ้านพักคนชรา 81,484 รายเสียชีวิต และ 8 เดือนต่อมา หลังจากยกเลิกการล็อกดาวน์และความพยายามที่จะปูพรมตรวจ แต่ก่อนวัคซีนจะมีใช้อย่างทั่วไป ผู้ป่วยในบ้านพักคนชราเสียชีวิต 74,299 รายในเดือนธันวาคมปี 2020
นอกจากนี้ยังพบว่า การติดเชื้อและการเสียชีวิตในหมู่ชาวเอเชียนอเมริกันมีผลกระทบที่ร้ายแรงกว่าในหมู่คนผิวสีและคนละติน โดยอัตราการเสียชีวิตของชาวเอเชียนอเมริกันในบ้านพักคนชราเพิ่มขึ้นเป็น 27% จากเดิม 17% ในปี 2019 ส่วนคนผิวขาว อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 24% จากเดิม 18% ในปี 2019 ส่วนคนผิวสีและชาวละติน อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 23% จากเดิม 15% ในปี 2019