รีเซต

Eli Lilly หุ้นพุ่ง กำไรดีกว่าคาด Toyota ปรับลดการผลิต 5%

Eli Lilly หุ้นพุ่ง กำไรดีกว่าคาด Toyota ปรับลดการผลิต 5%
ทันหุ้น
9 สิงหาคม 2567 ( 16:10 )
55
Eli Lilly หุ้นพุ่ง กำไรดีกว่าคาด Toyota ปรับลดการผลิต 5%

#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศรายวัน โดย บล.เอเซีย พลัส

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นแรงทั้ง 3 ดัชนีหลัก นำโดยกลุ่ม Semiconductor หลังนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานออกมาต่ำกว่าคาด ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Evercore มองเป็นจังหวะเข้าซื้อเนื่องจากเชื่อมั่นว่าตลาดยังอยู่ในขาขึ้น ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเล็กน้อย

 

โดยดัชนี STOXX600 +0.08% ได้แรงหนุนจากกลุ่ม Healthcare แต่ถูกฉุดด้วย Real Estate ด้านนักวิเคราะห์จาก MS มองมีสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค ส่วน Deutsche Bank ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนหุ้น Technology สู่ระดับ Neutral เช้านี้ตลาดดีดตัวขึ้นกว่า 1.4% หลัง CPI ออกมาสูงกว่าคาด บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่มีสัญญาณการฟื้นตัว

 

ด้าน Bond Yield จีนดีดตัวขึ้น หลังสถาบันการเงินของรัฐเทขายพันธบัตรจีนสะท้อนความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมการเก็งกำไรในตลาดพันธบัตรที่ร้อนแรง

 

ข่าวหุ้นอัพเดท Eli Lilly, Robinhood Markets, Toyota Motor, Beyond Meat, Occidental Petroleum, Monster Beverage, Semiconductor Manufacturing International, Tokyo Electron

STOCK HIGHLIGHT

Eli Lilly& Co. (LLY US) ปรับตัวขึ้น 10.12% ในช่วง Pre-Market หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2024 ที่ดีกว่าคาดการณ์อย่างมาก พร้อมกับปรับเพิ่มแนวโน้มกำไรตลอดทั้งปี

 

- โดยในไตรมาส 2บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ $1.13 หมื่นล้าน มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แบ่งเป็น

 

- รายได้จากการขายยารักษา ทรูลิซิตี้ ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานประเกท 2 เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ที่ $1.25 พันล้าน ลดลง 31%เมื่อเทียบกับปีก่อนและต่ำกว่าคาดการณ์ที่ $1.46 พันล้าน

 

- ขณะที่ยายอดนิยม เมาน์จาโร ที่ใช้สำหรับลดน้ำหนักและควบคุมโรคเบาหวานประเภท 2 ทำรายได้ $3.09 พันล้าน สูงกว่าคาดการณ์ที่ $2.49 พันล้าน

 

- ยา เวอร์ซีโอ ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านม มีรายได้ $1.33 พันล้าน เพิ่มขึ้น 44%เมื่อเทียบกับปีก่อน และสูงกว่าคาดการณ์ที่ $1.23 พันล้าน

 

- ส่วนยา เซปบาวด์ ที่ใช้สำหรับลดน้ำหนัก มียอดขาย $1.24 พันล้าน มากกว่าคาดที่ $930.8 ล้าน

 

กำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 80.8% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 78.3% แต่ต่ำกว่าคาดการณ์เล็กน้อยที่ 81.1% ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $3.92 ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ $2.75

 

บริษัทมีการปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ทั้งปี 2024 ขึ้น $3 พันล้าน โดยคาดว่ารายได้จะอยู่ในช่วง $4.54 หมื่นล้าน-$4.66 หมื่นล้าน สูงกว่านักวิเคราะห์คาดที่ $4.30 หมื่นล้าน และปรับเพิ่มกำไรสุทธิปกติต่อหุ้นสำหรับทั้งปี 2024 ขึ้น $2.60 มาอยู่ในช่วง $16.10-$16.60 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ $13.76 ด้วยแรงหนุนจากการเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับยาเบาหวานและยาลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมสูง

 

David A. Ricks USะธานและ CEO Vอง Lily กล่าวว่า "เมาน์จาโร, เซปบาวด์ และเวอร์ซีโอ มีบทบาทสำคัญในการสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเราในไตรมาสที่สองนี้ ขณะเดียวกันเรายังเห็นการเติบโตของยารักษามะเร็ง โรคทางระบบประสาท และโรคแพ้ภูมิตัวเอง นอกจากนี้ เรายังได้รับการอนุมัติ คิซุนล่า เพื่อช่วยผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรารอคอยมากว่าหลายสิบปี"

 

Eli Lilly และคู่แข่งอย่าง Novo Nordisk กำลังเร่งเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้นของยาลดน้ำหนัก โดยยาทั้งสองสามารถช่วยให้ผู้ใช้ลดน้ำหนักได้เฉลี่ยมากถึง 20% ขณะที่ทางนักวิเคราะห์คาดว่า Eli Lilly และ Novo Nordisk จะมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐที่เท่ากันภายในสิ้นปี 2024 เนื่องจาก Eli Lilly กำลังเพิ่มกำลังการผลิตและปิดช่องว่างกับ Novo Nordisk ซึ่งบริษัทคาดว่ากำลังการผลิตจากสายการผลิตใหม่จะเริ่มในปีนี้และโรงงานใหม่ใน Concord, North Carolina จะเริ่มดำเนินการในช่วงปลายปีนี้

.

Robinhood Markets (HOOD US) ปรับตัวขึ้น 2.22% หลังบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 สูงกว่าความคาดหมาย โดยรายได้จากการเทรดอออปชั่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่าจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนจะลดลงจากไตรมาสแรกที่มีผู้ใช้งานสูงก็ตาม

 

บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 682 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าคาดการณ์ที่ 642.6 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นจาก 618 ล้านดอลลาร์ใบไตรมาสก่อนหน้าและ 486 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว กำไรสุทธิต่อหุ้น อยู่ที่ 0.21 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.15 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นจาก 0.18 ดอลลาร์ในไตรมาสแรก

 

จำนวนผู้ใช้งานรายเดือนลดลงเหลือ 11.8 ล้านคนคน (เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ที่ 13.1 ล้านคน) จาก 13.7 ล้านคนในไตรมาสแรก แต่ยังเพิ่มขึ้นจาก 10.8 ล้านคนในปีที่แล้ว

 

รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 113 ดอลลาร์ สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 106.34 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นจาก 104 ดอลลาร์ในไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

- รายได้จากการเทรดตามธุรกรรมอยู่ที่ 327 ล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยจาก 329 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก แต่เพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รายได้จากคริปโตเคอร์เรนซี่อยู่ที่ 81 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 126 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสก่อนแต่เพิ่มขึ้น 161% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วรายได้จากหุ้นอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 39 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รายได้จากการเทรดออปชั่นพุ่งขึ้นสูงถึง 327 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 154ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้น 43%เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

.

Toyota Motor (7203 JT) ปรับตัวลง 0.74% หลังบริษัทได้ประกาศปรับลดแผนการผลิตรถยนต์ทั่วโลกสำหรับปี 2024 ลงประมาณ 5% อันเนื่องมาจากการหยุดการผลิตชั่วคราวที่โรงงานในประเทศญี่ปุ่น โดยมีการแจ้งแก่ซัพพลายเออร์หลักว่าบริษัทคาดการณ์การผลิตรถยนต์ทั่วโลกจะอยู่ที่ 9.8 ล้านคัน ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 10.3ล้านคัน

.

Beyond Meat (BYND US) ปรับตัวลง 0.76% ขณะที่บริษัทเผยผลประการไตรมาส 2 ออกมาผสมผสาน รายได้ปรับตัวได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นออกมาต่ำกว่าคาดโดยบริษัทเผยรายได้รวม $93.2 ล้าน ลดลง 8.8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ $87.8 ล้าน กำไรขั้นต้นอยู่ที่ $13.7 ล้าน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 14.7% เพิ่มขึ้นจาก 2.2% ในปีที่ผ่านมา ขาดทุนจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ $33.9 ล้าน และ Adj EBITDA อยู่ที่ -$23.0 ล้าน ซึ่งสะท้อนถึง Adj EBITDA Margin ที่ระดับ -24.7%ปรับปรุงจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ -40.0%ขาดทุนสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ $0.53ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้ว่าจะขาดทุน $0.51

 

- รายได้จากช่องทางการค้าปลีกในสหรัฐฯ ลดลง 7.5% มาอยู่ที่ $44,9 ล้านปริมาณสินค้าที่ขายลดลง 23.2% แต่รายได้สุทธิต่อปอนด์กลับเพิ่มขึ้น 20.5%

 

รายได้จากช่องทางการบริการอาหารในสหรัฐฯ ก็ลดลง 18.9% มาอยู่ที่ $10.4 ล้าน ปริมาณสินค้าที่ขายลดลง 20.0% แต่รายได้สุทธิต่อปอนด์เพิ่มขึ้น 1.4%

 

- ส่วนช่องทางการค้าปลีกต่างประเทศ รายได้ลดลง 12.1% มาอยู่ที่ $17.6 ล้าน และรายได้สุทธิต่อปอนด์ลดลง 6.9% ในขณะที่ปริมาณสินค้าที่ขายลดลง 5.5% และรายได้จากช่องทางการบริการอาหารต่างประเทศ รายได้ลดลง 2.5% มาอยู่ที่ $20.4 ล้าน ปริมาณสินค้าที่ขายลดลง 1.4% และรายได้สุทธิต่อปอนด์ลดลง 0.9

 

สำหรับปี 2024บริษัทคาดการณ์รายได้อยู่ระหว่าง $320 ล้าน ถึง $340 ล้านเหนือกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ $322 ล้าน อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ 14%-16%และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะอยู่ระหว่าง $180 ล้าน ถึง $190 ล้าน ไม่รวมค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย $7.5 ล้าน

 

Ethan Brown, CEO vอง Beyond Meat กล่าวว่า "เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าในไตรมาสนี้เรามีความก้าวหน้าอย่างมากตามแผนปี 2024 ซึ่งเป็นปีสำคัญในการดำเนินงานที่ยั่งยืนและมีกำไร สิ่งที่ยืนยันความสำเร็จได้แก่ การมีรายได้เกินกว่าที่คาดการณ์ในไตรมาสที่ 2 การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการใช้เงินสดอย่างต่อเนื่อง และการมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2021"

.

Occidental Petroleum (OXY US) ปรับตัวขึ้น 1.23% หลังรายงานกำไรไตรมาส 2ออกมามากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังมีการบันทึกผลลัพธ์เป็นครั้งแรกจากการเข้าซื้อกิจการผู้ผลิตน้ำมัน CrownRock มูลค่า $1.2 หมื่นล้าน

 

- โดยบริษัทเผยผลลัพธ์ในไตรมาสนี้ได้ประโยชน์จากการผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นใน Colorado และการผลิตใน Permian Basin และ Gulf of Mexico อยู่ที่ระดับขอบบนที่บริษัทคาดการณ์ไว้ ทำให้การผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1,26 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันต่อวัน (boepd) ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.24 ล้าน boepd และราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบทั่วโลกอยู่ที่ $79.89 ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว

 

กำไรสุทธิปกติต่อหุ้นในไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน อยู่ที่ $1.03 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 77 เซนต์ต่อหุ้น

 

- บริษัทมีการปรับเป้าหมายการผลิตในปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1.315 ล้านบาร์เรลน้ำมันและก๊าซต่อวัน จากเดิมที่ประมาณไว้ 1,250 ล้าน boepd เมื่อรวมสินทรัพย์ของ CrownRock

 

- สำหรับการผลิตในไตรมาสที่สามคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 140,000 boepd มาอยู่ที่ 1.390 ล้าน boepd

ขณะที่การเข้าซื้อกิจการ CrownRock ทำให้ตำแหน่งของ Occidental ใน Permian Basin แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็เป็นการเพิ่มหนี้ระยะยาวของ Occidental มาอยู่ที่ประมาณ $2.8 หมื่นล้าน ซึ่งนับเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมีนัยสำคัญ หลังบริษัทใช้เวลาอยู่หลายปีในการจัดการงบดุลภายหลังการเข้าซื้อกิจการ Anadarko ที่มีต้นทุนสูง

 

- บริษัทยังคงแผนเดิมสำหรับการใช้เงินสุดที่ได้จากการเข้าซื้อกิจการและการขายสินทรัพย์สูงถึง $6 พันล้านดอลลาร์จนถึงปี 2026เพื่อชำระหนี้ โดยประมาณการขายสินทรัพย์ $970 ล้านในปีนี้ และยืนยันแผมชำระหนี้ระยะสั้น $4.5 พันล้านภายในเดือนสิงหาคม 2025

.

Monster Beverage (MNST US) ปรับตัวลง 7.40% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ พร้อมเตือนถึงแรงกดดันด้านอุปสงค์

 

บริษัทเผยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ $1.9 พันล้าน แต่ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ $110 ล้าน ยอดขายในส่วน Monster Energy Drinks ซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มพลังงาน Monster Energy, Reign Total Body Fuel, Reign Storm และ Bang Energy เพิ่มขึ้น 3.3% เป็น $1.74 พันล้านในไตรมาสนี้

 

ยอดขายในส่วน Strategic Brands ซึ่งรวมถึงแบรนด์เครื่องดื่มพลังงานที่ได้มาจาก Coca-Cola และแบรนด์เครื่องดื่มพลังงานที่มีราคาไม่สูง เพิ่มขึ้น 9.6% เป็น $109.2 ล้าน

 

นอกจากนี้ ยอดขายในส่วน Alcohol Brands ซึ่งรวมถึง The Beast Unleashed และคราฟต์เบียร์และฮาร์ดเซลเซอร์ ลดลง 31.9% มาอยู่ที่ $41.6 ล้าน ซึ่งการลดลงของยอดขายสุทธิเกิดจากปริมาณการขายเครื่องดื่มมอลต์ที่ปรับตัวลดลง

 

ยอดขายจากลูกค้านอกสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.3% เป็น $746 ล้าน คิดเป็น 39%ของยอดขายทั้งหมด และรายได้เฉลี่ยต่อกระป้องลดลงเป็น $8.73จาก $9.00 ในปีที่ผ่านมา

 

กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 53.6%ของยอดขาย เทียบกับ 52.5% ในปีที่แล้ว การเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นเป็นผลมาจากค่าขนส่งที่ลดลง การปรับราคาในตลาดบางแห่ง และค่าใช้จ่ายกระป๋องอะลูมิเนียมที่ลดลง แต่ยังถูกหักล้างด้วยประสิทธิภาพการผลิตที่ลดลง

 

กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้อยู่ที่ $527.2 ล้าน เทียบกับ $523.8 ล้านในปีที่แล้ว กำไรต่อหุ้น (EPS) ออกมาอยู่ที่ $0.41เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ $0.39แต่ต่ำกว่าคาดที่ $0.46

 

Hilton Schlosberg ผู้ร่วมดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า "ในช่วงไตรมาสที่สอง ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศอื่นๆ มีอัตราการเติบโตที่ลดลง ร้านค้าปลีกรายงานว่ามีการลดลงของจำนวนผู้เข้าใช้บริการที่ร้านสะดวกซื้อ และเราเห็นการเปลี่ยนแปลงไปที่ร้านค้าขนาดใหญ่และร้านค้าราคาประหยัด นอกจากนี้ บริษัทเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภครายอื่นๆ ก็เผชิญกับสภาวะการใช้จ่ายที่เข้มงวดขึ้นและความต้องการที่ลดลงในช่วงไตรมาสนี้"

.

Semiconductor Manufacturing International(981 HK) รายงานกำไรสุทธิหดตัวลง 59.1% YoY ในไตรมาสที่สองของปื แต่ผลประกอบการยังคงสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้โดยรายได้เพิ่มขึ้น 21.8% เป็น 1.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งยังคงสูงกว่าที่คาดไว้ ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 164.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 103.8 ล้านดอลลาร์ ผลประกอบการนี้สะท้อนถึงสัญญาณการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกหลังจากเผชิญกับภาวะซบเซาตั้งแต่ปลายปี 2022 โดยยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 18.3% YoY เป็น 1.50 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สอง โดยตลาดจีนเติบโตขึ้น 21.6% YoY ตามข้อมูลจาก Semiconductor Industry Association

 

แม้ว่า SMIC จะเป็นผู้ผลิตชิพขั้นพื้นฐานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ก็ได้รับความสนใจหลังจากที่มีการพบชีพที่ผลิตโดย SMIC ในสมาร์ทโฟนของ Huawei ซึ่งถือว่าเป็นชิปที่ทันสมัยที่สุดในจีน อย่างไรก็ตาม การผลิตชิปขั้นสูงยังคงมีข้อจำกัด ทำให้ SMIC ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI ได้เต็มที่เหมือนกับคู่แข่งบางราย

 

- สำหรับไตรมาสสาม SMIC คาดการณ์ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 13% ถึง 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

.

Tokyo Electron (8035 JT) เผยผลประกอบการไตรมาส 1 (สิ้นสุด มิถุนายน 2024) ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดและผู้บริหารยังได้ปรับประมาณการสำหรับทั้งปีขึ้น

 

บริษัทประกาศกำไรสุทธิต่อหุ้น ในไตรมาสสอง ที่ $0.26 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ $0.20 รายได้ อยู่ที่ $2.05 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ $2.01 พันล้านดอลลาร์

 

- โดยรายได้รวมออกมาอยู่ที่ 5.55 แสนล้านเยน พลิกกลับมาเติบโต 41.69% YoY เป็นไตรมาสแรก ออกมาดีกว่าคาดที่ 5.00 แสนล้านเยน รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการขาย SPE New Equipment ที่ 4.32 แสนล้านเยน เติบโต 50.30% YoY ดีกว่าคาดที่ 3.86 แสนล้าน

 

อัตรากำไรขั้นต้นออกมาอยู่ที่ 47.6% ขยายตัวจากปีก่อนหน้าที่ 41.4% และยังออกมาดีกว่าคาดที่ 45.19%

ในขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้นออกมาอยู่ที่ 273.22 เยน เติบโต 98.76% YoY ดีกว่าคาดที่ 211.19 เยน สำหรับครึ่งปีแรก ผู้บริหารได้มีการปรับคาดการณ์รายได้ขึ้นจาก 1.00 ล้านล้านเยน มาอยู่ที่ 1.10 ล้านล้านเยน ดีกว่าคาดที่ 1.02 ล้านล้านเยน

 

มากไปกว่านั้นยังได้ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิขึ้นจาก 1.85 แสนล้านเยน มาอยู่ที่2.18แสนล้านเยน ดีกว่าคาดที่ 1.99 แสนล้านเยน

 

ในส่วนของทั้งปีผู้บริหารได้มีการปรับคาดการณ์รายได้ขึ้นจาก 2.20 ล้านล้านเยนมาอยู่ที่ 2.30ล้านล้านเยน ดีกว่าคาดที่ 2.24 ล้านล้านเยน และยังได้ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิขึ้นจาก 4.45 แสนล้านเยน มาอยู่ที่ 4.78แสนล้านเยน ดีกว่าคาดที่ 4.63 แสนล้านเยน

 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง