รีเซต

Google และ Sphere เผยนวัตกรรม AI สุดล้ำเบื้องหลังโปรเจกต์ The Wizard of Oz at Sphere

Google และ Sphere เผยนวัตกรรม AI สุดล้ำเบื้องหลังโปรเจกต์ The Wizard of Oz at Sphere
EntertainmentReport1
11 เมษายน 2568 ( 00:40 )
34

Google และ Sphere Entertainment Co. (NYSE: SPHR) ได้ประกาศความร่วมมือด้านเทคโนโลยี AI ครั้งใหม่ เพื่อสร้างสรรค์โครงการ The Wizard of Oz at Sphere ให้เกิดขึ้นจริง ผ่านการใช้เทคโนโลยี generative AI (gen AI) โดยโครงการนี้จะใช้การทำงานด้านวิศวกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมกับการมีส่วนร่วมจากครีเอเตอร์ นักเขียนโปรแกรม ศิลปินวิชวลเอฟเฟกต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ นับพันคน ซึ่งจะเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับเทคโนโลยีความบันเทิง และเปิดมิติใหม่ของการเล่าเรื่องด้วยภาพ อย่างที่ The Wizard of Oz เคยปฏิวัติวงการภาพยนตร์ด้วยการใช้เทคโนโลยีภาพสีเทคนิคคัลเลอร์ เมื่อเกือบ 90 ปีก่อน

 

The Wizard of Oz at Sphere

เพื่อการนำเสนอ The Wizard of Oz at Sphere ในลาสเวกัส ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 28 สิงหาคม 2025 Google Cloud และ Google DeepMind ได้ร่วมมือกันนำโมเดล Gemini ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างละเอียด Veo 2 และ Imagen 3 มาใช้เพื่อยกระดับความคมชัดของภาพยนตร์ ขยายฉากพื้นหลัง และสร้างตัวละครที่มีอยู่เดิมในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้ตัวละครเหล่านั้นสามารถปรากฏบนจอเดียวกันได้ แม้ว่าในอดีตจะไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ Sphere ยังใช้โครงสร้างพื้นฐานของ Google Cloud ที่มีความสามารถในการปรับขนาดสูงและได้รับการปรับแต่งเพื่อรองรับการใช้ AI เพื่อสนับสนุนการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลและความต้องการด้านการประมวลผลในการสร้างประสบการณ์เสมือนจริง ซึ่งโครงการ The Wizard of Oz at Sphere นี้ได้ดำเนินการประมวลผลข้อมูลไปแล้วถึง 1.2 เพตะไบต์

เจมส์ โดแลน ประธานบริหารและซีอีโอของ Sphere Entertainment กล่าวว่า “ด้วยพลังของ generative AI ร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานและความเชี่ยวชาญของ Google จะช่วยให้เราสามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เราต้องการพันธมิตรที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปพร้อมกับทีมงานของเราที่ Sphere Studios และ Magnopus ซึ่ง Google คือบริษัทเดียวที่มีความสามารถในการตอบโจทย์นี้ได้ โดยเฉพาะการใช้งานบนจอ LED ที่มีความละเอียดสูงที่สุดในโลก”

 

 

โทมัส คูเรียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google Cloud กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ Sphere ในโครงการ The Wizard of Oz at Sphere เป็นตัวอย่างที่ดีของการก้าวข้ามขีดจำกัดของ generative AI เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นให้กับผู้ชม รวมถึงเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับสตูดิโอและผู้สร้างภาพยนตร์ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการที่ท้าทายนี้ เพื่อนำผลงานสุดคลาสสิกของอเมริกามาสู่สายตาผู้ชมรุ่นใหม่อีกครั้ง”

 

Google AI เนรมิต The Wizard of Oz at Sphere ให้เกิดขึ้นจริง

The Wizard of Oz เปิดตัวครั้งแรกในปี 1939 ด้วยการถ่ายทำที่ปฏิวัติวงการภาพยนตร์ โดยใช้กล้องระยะเลนส์ 35 มม. และเทคโนโลยีภาพสีทรีสตริป เทคนิคคัลเลอร์  และเป็นผลงานฮอลลีวูดเพียงเรื่องที่สามที่นำกระบวนการสร้างสีสันอันน่าทึ่งนี้มาสู่สายตาผู้ชมในโรงภาพยนตร์ โดยเกือบ 90 ปีต่อมา Sphere จะนำ The Wizard of Oz กลับมาฉายอีกครั้งในรูปแบบที่เสมือนจริงบนจอแสดงผลภายในขนาด 160,000 ตารางฟุต โดยใช้ Google AI ควบคู่ไปกับเทคนิควิชวลเอฟเฟกต์ และภาพยนตร์แบบดั้งเดิม เพื่อขยายฉากและยกระดับตัวละครอย่างสมจริง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน นอกจากที่ Sphere เท่านั้น

Google Cloud และ DeepMind กำลังก้าวข้ามขีดจำกัดของ gen AI โดยใช้โมเดล Gemini Veo และ Imagen รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของ Google Cloud เช่น Tensor Processor Units (TPUs) ซึ่งเป็นตัวเร่งการประมวลผล AI ที่ปรับแต่งเองของบริษัท Google Kubernetes Engine (GKE) และอื่น ๆ อีกมากมาย เทคนิคสำคัญที่ใช้สำหรับการพัฒนาภาพยนตร์ในครั้งนี้ ได้แก่:

  • สุดยอดความคมชัด: Veo จะถูกใช้เพื่อปรับปรุงความคมชัดของภาพยนตร์อย่างชาญฉลาด โดยการเติมเต็มพิกเซลที่หายไป และสร้างภาพความละเอียด 16K ที่คมชัดสูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการแสดงผลบนจอภายในของ Sphere ที่มีความละเอียด 16K x 16K โดยขั้นตอนนี้ต้องการอัลกอริธึมที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถทำความเข้าใจและสร้างรายละเอียดที่ความละเอียดสูง รวมถึงภูมิทัศน์ ฉาก และแม้กระทั่งตัวละครจากภาพยนตร์ต้นฉบับได้อย่างแม่นยำ
  • ฟังก์ชัน Outpainting: เพื่อขยายขอบเขตภาพของภาพยนตร์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแบบเสมือนจริงของ Sphere จึงมีการใช้ Veo ในการขยายฉากพื้นหลังและตัวละครอย่างไร้รอยต่อ สร้างความรู้สึกให้ผู้ชมเหมือนอยู่กับตัวละครในฉากจริง ๆ โดยกระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างองค์ประกอบของพื้นหน้าและฉากกลางที่สอดคล้องและคงความเป็นจริงตามภาพยนตร์ต้นฉบับ
  • การสร้างสรรค์ภาพเคลื่อนไหว: ด้วยการใช้ Veo ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว ร่วมกับ Gemini ในการให้คำแนะนำ ทีมงานจึงได้พัฒนาเทคนิคการเล่าเรื่องที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้ตัวละครหลายตัวสามารถปรากฏบนหน้าจอได้ต่อเนื่อง แม้ว่าการตัดต่อแบบดั้งเดิมจะต้องมีการตัดฉากออก โดยสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความดื่มด่ำให้กับผู้ชม ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่
  • หน้าต่างบริบท (Context Window): ความสามารถของหน้าต่างบริบทที่มีความยาวพิเศษของ Gemini และ Veo มีความสำคัญในการรักษาความเชื่อมโยงระหว่างฉากต่างๆ ที่ยาวขึ้น ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจได้ว่าภาพที่ได้รับการปรับปรุงจะคงความสม่ำเสมอทั้งเรื่อง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง