รีเซต

ดึง“ลิซ่า”โปรโมตไทยฟื้นรายได้3ล้านล.

ดึง“ลิซ่า”โปรโมตไทยฟื้นรายได้3ล้านล.
TNN ช่อง16
21 ตุลาคม 2568 ( 11:10 )
13

สำหรับปี 2568 ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) หรือช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2568 รัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีระกูล ต้องการเห็นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 12 ล้านคน จากปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้ว 25 ล้านคน 

และเน้นเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ 580,000 ล้านบาท หลังจากทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว และมูลค่าการใช้จ่ายในปัจจุบัน ลดลงกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 3-7 เมื่อเทียบในช่วงเดียวกัน  

ส่วนทั้งปี 2568 ททท.ตั้งเป้าคาดการณ์รายได้รวมท่องเที่ยวอยู่ที่ 2.66 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น รายได้ตลาดต่างประเทศ 1.51 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นเป้าที่ลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 

ขณะที่คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 33.4 ล้านคน ซึ่งถือว่าลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และตั้งเป้ามีรายได้ตลาดในประเทศ 1.15 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวไทย 204.57 ล้านคน-ครั้ง

 

ส่วนปี 2569 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมท่องเที่ยว 2.79 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2568 แบ่งเป็น รายได้ ตลาดต่างประเทศ 1.63 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ร้อยละ 8 

โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 34.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ส่วนรายได้ตลาดในประเทศ 1.16 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากจำนวนนักท่องเที่ยวไทย 210.43 ล้านคน-ครั้ง 

อย่างไรก็ตาม เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นให้ถึงเป้าหมาย นอกจากกิจกรรมขนาดใหญ่ (บิ๊กอีเวนต์) เพื่อกระตุ้นการเดินทางที่ททท. จัด เช่น  งานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แกรนด์ ดิวาลี เฟสติวัล 2025 ที่เริ่มวันที่ 16-20 ตุลาคมนี้ งานมหาลอยกระทง เวิลด์ อีเวนต์ 2025 ในเดือนพฤศจิกายน งานวิจิตร เจ้าพระยา 2025 เป็นต้น 

ททท.ยังได้ลงนามสัญญากับ บริษัท LLOUD (ลาวด์) Co. ที่”ลิซ่า” ลลิษา มโนบาล เมมเบอร์วงแบล็กพิงค์ เป็นผู้ก่อตั้ง โดยตั้ง “ลิซ่า” เป็นตัวแทนการท่องเที่ยวไทย "Amazing Thailand Ambassador"

 เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ เพื่อเดินหน้ายกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทย โดยมุ่งมั่นผลักดันให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยครอบคลุมการทำงานร่วมกันระหว่างวันที่ 29 กันยายนปี 2568 ถึง 29 กันยายนปี 2569





ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สาเหตุที่ ททท. เลือกลิซ่า เนื่องจาก เป็นศิลปินที่มีฐานะเป็นโกลบอลไอคอน มีผลงานที่ประสบความสำเร็จ สามารถพิสูจน์ได้อย่างยาวนาน และมีฐานแฟนคลับจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมองเห็นผ่านแคมเปญที่ทำร่วมกัน เปลี่ยนจุดหมายปลายทางในการเข้ามาเที่ยวไทยไปสู่การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงมากขึ้น เพิ่มการเติบโตในด้านต่างๆ

อาทิ การลิซ่า บ่นอยากกินลูกชิ้นยืนกินที่บุรีรัมย์ ก็ทำให้ลูกชิ้นยืนกินขายดีมาก สามารถต่อยอดอุตสาหกรรมอาหาร ภาพผ้าไทยที่นุ้งไปเที่ยว ก็ทำให้คนรู้จักผ้าไทยมากขึ้น เพิ่มยอดขายมากขึ้น 

ทั้งนี้คาดว่า แคมเปญที่ทำร่วมกันครั้งนี้ จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 5-10 ล้านคน สร้างรายได้ 250,000-500,000 ล้านบาท โดยคาดหวังว่า ทั้งปี 2569 จะสามารถสร้างรายได้มากกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ทำรายได้ท่องเที่ยวได้ดีที่สุด อยู่ประมาณ3 ล้านล้านบาท

ส่วนแผนงานในแคมเปญนี้ คือ ลิซ่าจะร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณาความยาว 60 วินาทีหนึ่งชิ้น โดยทางททท. จะตัดต่อฟุตเทจเป็นคลิปวิดีโอความยาว 30 วินาที และ 15 วินาที รวมถึงตัวอย่างภาพยนตร์ความยาว 30 วินาทีอีกชิ้นหนึ่ง ที่จะเปิดตัวในช่วงเดือนมกราคม 2569 และมีการถ่ายภาพ 12 ภาพ

อย่างไรก็ตาม ความพิเศษในการทำงานครั้งนี้คือ ลิซ่าจะเข้าร่วมงานเอ็กซ์คลูซีฟอีเวนต์พิเศษ ในปลายเดือนมกราคมปี 2569 หลังจากภาพยนตร์โฆษณาออกฉายแล้ว เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวที่เป็นฐานแฟนคลับได้ร่วมกิจกรรมและเข้าร่วมอีเวนต์นี้ด้วย 

และคาดหวังว่าการที่ “ลิซ่า”ช่วยนำเสนอประเทศไทยในแง่มุมที่ดีขึ้น จะช่วยทำให้รายได้ปี 2569 กลับมาไม่น้อยกว่าปี 2562 คือไม่น้อยกว่า 3 ล้านล้านบาท 

ส่วนถ้ามาดูฝั่งสายการบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 4 นั้น จากข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ช่วงไตรมาส 4 สายการบินระหว่างประเทศ 

จากทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ อาเซียน ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง มีการเพิ่มเส้นทางบิน ความถี่เที่ยวบิน และที่นั่งสายการบินสู่ประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 

โดยทั้งหมดเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายเชิงรุกของ ททท. ในการผลักดันกลยุทธ์แอร์ไลน์ โฟกัส (Airline Focus) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรสายการบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง 

รวมถึงการกระตุ้นสายการบินเช่าเหมาลำจากเมืองรองของสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านโครงการ Thailand Summer Blast เพื่อดันจำนวนและรายได้นักท่องเที่ยวสู่เป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม พบว่าในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว สายการบินระหว่างประเทศจากตลาดระยะใกล้ ประกอบด้วย ภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะจีน เอเชียใต้ อาเซียน และตลาดระยะกลางและระยะไกลจากตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา มีการเปิดเส้นทางบินใหม่รวมกว่า 80 เส้นทาง 

ทั้งจากเมืองหลักและเมืองรองของต่างประเทศสู่จุดหมายปลายทางของประเทศไทย อาทิ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ กระบี่ ภูเก็ต และระยอง (อู่ตะเภา) รวมถึงมีการเพิ่มเที่ยวบินเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 โดยเฉพาะในเส้นทางของตลาดยุโรปและเอเชียใต้ที่สถานการณ์การบินกลับมาขยายตัวและเติบโตกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 แล้ว 


สะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงปลายปีแน่นอน 

ส่วนเมื่อมาดูภาคการท่องเที่ยวในประเทศ ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ระบุว่า การท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นับเป็นยุคทองของการท่องเที่ยว จากอานิสงส์ของโครงสร้างอายุของประชากรวัยท่องเที่ยว (25 - 65 ปี) ที่นับว่ายังสามารถส่งผลบวกให้กับภาคการท่องเที่ยวในประเทศได้เป็นอย่างดี 

แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาณการท่องเที่ยวที่เคยเป็นจุดหนุนทั้งในรูปแบบ 1. กลุ่มเมืองท่องเที่ยวหลักในแต่ละภูมิภาคที่ปกติมีนักท่องเที่ยวเกินกว่า 4 ล้านคน/ครั้ง/ต่อปี เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปี 2566 เติบโตดีที่ร้อยละ 15.3 แต่เริ่มชะลอในปี 2567 ที่ร้อยละ 6.2 

และปี 2568 การเติบโตของนักท่องเที่ยวกลับเหลือเพียงร้อยละ 0.4 หรือเมืองหลักในภูมิภาคอื่นๆ อาทิ สงขลาเติบโต ร้อยละ 59.1 ในปี 2566 และเริ่มชะลอลงร้อยละ 12.2 และร้อยละ 6.3 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ

2.กลุ่มเมืองรองที่มีศักยภาพสูงเพียงพอดึงดูดให้พักค้างแรม เช่น จังหวัดจันทบุรี ปี 2566 เติบโตถึง 206.8% และค่อย ๆ ชะลอลงเหลือร้อยละ 5.5 ในปี 2567 จนปี 2568 หดตัวลงร้อยละ -8.2 

หรือจังหวัดสมุทรสงครามเติบโตร้อยละ 55.6 ในปี 2566 แต่กลับหดตัวลงต่อเนื่องร้อยละ 3.0 และ ร้อยละ - 17.0 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ

3.เมืองรองกลุ่มไปเช้า-เย็นกลับอาทิ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปี 2566 เติบโตร้อยละ 25.2 ในปี 2567 เริ่มชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 11.8 และปัจจุบันเหลือร้อยละ 6.8 

หรือกลุ่มจังหวัดที่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาค เช่น จังหวัดตรังที่ในปี 2566 เติบโตร้อยละ 51.5 แต่ค่อย ๆ ชะลอลงเหลือร้อยละ 22.8 และร้อยละ 5.1 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ

และ 4.การท่องเที่ยวในรูปแบบกลุ่มจังหวัดที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกันเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวซึ่งกันและกัน เช่น นครพนม-สกลนคร ปี 2566 เติบโตร้อยละ 29.0 และเริ่มชะลอตัวลงในปี 2567 และ 2568 ที่เติบโตร้อยละ 9.4 และร้อยละ 7.2ตามลำดับ

ดังนั้นในมุมมองของ ttb analytics ปัจจัยที่สำคัญต่อการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวไทยดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากภาวะอิ่มตัวของแหล่งท่องเที่ยวเดิม ที่เริ่มสูญเสียแรงดึงดูดเมื่อไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติม ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ซ้ำซากทำให้ความพึงพอใจลดลง และลดโอกาสในการกลับมาเยือนซ้ำ 

สะท้อนได้จากในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีต้นทุนการเดินทางสูง และมีทางเลือกที่หลากหลายในตลาดโลก หากไทยยังคงพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวเดิมโดยไม่ต่อยอดหรือยกระดับประสบการณ์ใหม่ ๆ อาจทำให้เสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณแล้วจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังปี 2557 (ไม่นับช่วงสถานการณ์โควิด-19) จึงสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์การท่องเที่ยวของคนไทย 

จากการใช้ทรัพยากรเดิม ไปสู่การสร้างมูลค่าใหม่ผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ยกระดับประสบการณ์ และตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้มากขึ้น

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยในปัจจุบัน 

โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้ครัวเรือนไม่แน่นอนแต่มีค่าครองชีพสูงขึ้น การตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวจึงถูกพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น 

ทั้งในด้านระยะทาง ค่าใช้จ่ายต่อทริป และความคุ้มค่าของประสบการณ์ที่ได้รับ ทำให้คนไทยเลือกท่องเที่ยวแบบใกล้บ้าน ไปเช้า–เย็นกลับ หรือ เลือกเมืองรองที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมืองหลัก 

ซึ่งแม้จะช่วยกระจายรายได้ในพื้นที่ต่าง ๆ แต่ก็สะท้อนถึงข้อจำกัดที่มากขึ้นสำหรับการเติบโตของภาพรวมการท่องเที่ยวของคนไทย

ดังนั้น จากปัจจัยดังกล่าว ทาง ttb analytics มองสิ่งที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องพัฒนาเพื่อยกระดับทั้งในด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่และการฟื้นกำลังซื้อในการท่องเที่ยว ได้แก่

1.การยกระดับ Public Transport  หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการท่องเที่ยวไทยคือ “การเข้าถึง” แม้ไทยมีถนนและสนามบินเพียงพอ แต่ยังขาด Connectivity และมี Cost of Time สูง การเดินทางระยะไกลด้วยรถโดยสารใช้เวลานาน ส่วนเครื่องบินแม้เร็วแต่มีต้นทุนสูงและขั้นตอนยุ่งยาก เมื่อลงเครื่องยังต้องเดินทางต่อเพื่อเข้าเมือง 

ขณะที่ระบบขนส่งท้องถิ่นก็ยังไม่ครอบคลุม ทำให้นักท่องเที่ยวต้องเช่ารถ เพิ่มค่าใช้จ่ายและความยุ่งยาก ส่งผลให้ต้นทุนการท่องเที่ยวในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวสูง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ขนส่งสาธารณะยังเข้าไม่ถึง 

ดังนั้น โครงการรถไฟความเร็วสูงที่กำลังก่อสร้างนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพื่อเข้าถึงพื้นที่หลักของแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ 

2. เที่ยวไทยไปได้ทุกเวลา  หากประเทศไทยต้องการยกระดับภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืนและหลุดพ้นจากภาพลักษณ์ความเคยชิน การปรับภาพลักษณ์ใหม่ “All-Season Tourism” เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเปิดตลาดใหม่ ๆ ในช่วง Off Peak หรือสถานที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ผ่านการนำเสนอ 

เช่น หน้าฝน เป็น Green Season ที่เน้นกิจกรรมธรรมชาติ เช่น น้ำตก ป่าฝน และกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ส่วนหน้าหนาวสามารถโปรโมท ดอยสูง ทะเลหมอก และเส้นทางเดินป่า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง 

ด้วย "การสร้างภาพจำใหม่ว่า “เที่ยวไทยได้ทุกเวลา” ที่ไม่เพียงช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและลดความแออัดในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่มองหาประสบการณ์เฉพาะทาง และบริการที่ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่"

3. สนับสนุนและลดหย่อน  มีการสนับสนุนจากภาครัฐที่จูงใจเพียงพอในการสนับสนุนท่องเที่ยวเมืองรองให้เต็มประสิทธิภาพ และให้ใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น เช่น ขยายวงเงินใช้จ่ายเมืองรองให้ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง 

รวมถึงการขยายไปยังกลุ่มสินค้าและบริการให้ได้รับการลดหย่อนภาษี เนื่องจากจำนวนเงินที่จำกัดดังกล่าวอาจเกิดจากการเดินทางแค่ 1 ทริป การท่องเที่ยวเมืองรองในทริปถัดไปอาจไม่จูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเมืองรอง 

ส่งผลให้การตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวในครั้งถัด ๆ ไป ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศอาจไม่ได้รับแรงจูงใจเพิ่มเติม รวมถึงโครงการคนละครึ่งที่ภาครัฐมีนโยบาย อาจนำไปปรับใช้เพิ่มเติมในภาคโรงแรม และท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับบริการที่สะดวกมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นในช่วงไฮซีซั่นนี้ จึงคาดหวังว่าแผนการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวที่ ททท. ทำมาจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น และมองว่า “ภาคท่องเที่ยว” จะยังเป็นกำลังสำคัญของไทยในการเดินหน้าเศรษฐกิจ 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง