'คลัง'ถกธปท. รื้อวงเงินพ.ร.ก.ซอฟต์โลน เปิดทางธุรกิจใหญ่กู้ได้-แบ่งใช้โครงการโกดังพักหนี้
เมื่อวันที่ 3 มี.ค. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ”ทิศทางฟื้นเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด2564” ว่า ได้หารือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อปรับเกณฑ์การใช้เงินพระราชกำหนดเงินกู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (พ.ร.ก.ซอฟต์โลน) ที่เหลืออยู่มากกว่า 300,000 ล้านบาท เพื่อให้เอกชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ โดยจะแบ่งเงินเป็น 2 ส่วน ซึ่งส่วนแรกจะยังเป็นรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แต่ปรับเงื่อนไขใหม่ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมกำหนดให้เฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เพิ่มให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่เข้ามายื่นขอกู้ได้ด้วย รวมถึงจะมีการขยายวงเงินกู้ต่อราย จากเดิม 20% ของยอดสินเชื่อคงค้าง เปลี่ยนเป็นไม่เกิน 500 ล้านบาท ตลอดจนเรื่องอัตราดอกเบี้ย จากเดิม 2% ให้เป็นช่วงตั้งแต่ 2% ขึ้นไป เพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้เพิ่มขึ้น
ส่วนวงเงินอีกก้อน จะนำมาจัดทำโครงการโกดังพักหนี้ (Asset Warehousing) เพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่ไปต่อไม่ได้ ให้สามารถนำทรัพย์สิน มาขายฝากกับสถาบันการเงิน และในระหว่างนั้นสามารถจ่ายค่าเช่ากับธนาคาร ให้ประกอบกิจการต่อไป และเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง สามารถกลับมาซื้อคืนได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยรัฐบาล พร้อมจะแก้ไขกฎระเบียบและเรื่องการยกเว้นภาษี เพื่อช่วยเหลือให้เอกชนสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง จะเป็นผู้บริหารจัดการเอง คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 2 เดือนนี้
“การปรับปรุงพ.ร.ก.ซอฟต์โลนนี้ ต้องมีการจัดทำเป็นพ.ร.ก.ฉบับใหม่ขึ้นใช้ทดแทนฉบับเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือเงื่อนไขรายละเอียดกับธนาคารแฟ่งประเทศไทย ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะแบ่งวงเงินการใช้จำนวนเท่าใด ส่วนเรื่องโครงการโกดังพักหนี้ เท่าที่ทราบ แบงก์ชาติ กำลังหารือกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อกำหนดกติกา การตีมูลค่าทรัพย์สิน” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเร็วๆ นี้จะหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อหาแนวทางการดำเนินการโครงการเราเที่ยวด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเข้ามาในประเทศไทย ได้ล่าช้ากว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ หลังเกิดการระบาดโควิด-19ระลอกใหม่ จากเดิมคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาเที่ยวไทย 8 ล้านคน แต่ต่อมาปรับลงอีกเหลือ 5 ล้านคน ล่าสุดไม่ทราบจะเหลือยอดนักท่องเที่ยวจำนวนเท่าใด เนื่องจากแผนการเปิดประเทศมีความล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ ดังนั้นจึงต้องพึ่งการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ขณะนี้หลายฝ่ายประมาณการณ์ว่า การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาเหมือนกันได้ในปี 2566-2567
“ขณะนี้ได้หารือหลายประเทศ เพื่อเปิดให้เดินทางเข้ามาในประเทศ อาจผ่อนปรนระยะเวลาการกักตัว เพื่อดึงดูดให้ต่างชาติมาเที่ยวไทย อย่างไรก็ตามปีนี้ ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก มาตรการต่างๆ ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวตามที่คาดการณ์ไว้อย่างต่ำที่สุด 2.8% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่น่าพอใจ เนื่องจากยังเติบโตไม่เต็มศักยภาพที่มีอยู่ โดยปีนี้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งระยะสั้น อาทิ คนละครึ่ง เราชนะ เราเที่ยวด้วยกัน และอื่นๆ โดยเฉพาะเราชนะ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์จนถึงปัจจุบัน มีการใช้จ่ายผ่านโครงการเราชนะ 60% ในเมืองรอง ส่วนที่เหลือใช้จ่ายในเมืองหลัก ถือเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับฐานรากให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ”นายอาคม กล่าว