ไบเดนแถลงครบปีวันอัปยศเหตุม็อบบุกสภา ฉะทรัมป์รักชาติเฉพาะเวลาชนะเลือกตั้งไม่ได้
ไบเดนแถลงครบปีวันอัปยศเหตุม็อบบุกสภา - วันที่ 6 ม.ค. รอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา แถลงวาระครบรอบ 1 ปี เหตุผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกรุกอาคารรัฐสภา ที่แคพิทอล ฮิลล์ กรุงวอชิงตัน เมื่อปี 2564 มีผู้เสียชีวิต 4 ราย
ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวโจมตีอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ (ไม่ได้เอ่ยชื่อโดยตรง) ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ใจกลางของเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมสั่งสอนว่า "จะรักชาติเฉพาะตอนตัวเองชนะเลือกตั้งไม่ได้"
ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า การกล่าวอ้างที่ผิดของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ว่าถูกปล้นชัยชนะไปในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลายปี 2563 จากการโกงการเลือกตั้งอย่างมโหฬารนั้นเป็นการบ่อนทำลายหลักพื้นฐานของกฎหมาย และทำลายความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งในอนาคต
"พวกเราจำเป็นต้องชัดเจนว่าสิ่งใดคือความจริงและคำโกหก ความจริง คือ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้สร้างและเผยแพร่เครือข่ายของคำโกหกไปทั่วเกี่ยวกับการเลือกตั้งในปี 2563 ที่ทำอย่างนั้นเป็นเพราะบุคคลผู้นี้ให้ความสำคัญกับอำนาจเหนือหลักการ(ประชาธิปไตย)"
"เพราะว่าเค้ามองว่าประโยชน์ของส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติ และด้วยอีโก้ของตัวเองที่ยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองแพ้ แม้จะยืนยันด้วยผลโหวตจากสมาชิกสภา 93 เสียง อัยการสูงสุด และรองประธานาธิบดีของเค้าเอง รวมทั้งผู้ว่าการรัฐต่างๆ"
คำแถลงของประธานาธิบดีไบเดน เกิดขึ้นท่ามกลางคำเตือนของบรรดาสมาชิกพรรคเดโมเครติก หรือเดโมแครต และรีพับลิกัน ว่าสิ่งที่ทรัมป์เคยกล่าวยุยุงผู้สนับสนุนให้เดินทางไปกรุงวอชิงตันเพื่อ "หยุดยั้งการปล้นอำนาจ" และ "สู้สุดฤทธิ์" ยังคงไม่ได้เลือนหายไปจากใจของผู้สนับสนุน
"เมื่อหนึ่งปีก่อน พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ที่ๆ ผมยืนอยู่ตรงนี้ ประชาธิปไตยของเราถูกโจมตี ฉันทามติของประชาชนถูกโจมตี รัฐธรรมนูญของเราเผชิญกับภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุด"
"นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ ที่ผู้นำประเทศไม่ใช่เพียงแพ้การเลือกตั้ง แต่ยังพยายามขัดขวางประเพณีการส่งต่ออำนาจอย่างสันติ" นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไบเดนยังกล่าวประณามทรัมป์ที่นั่งดูเหตุการณ์บุกรัฐสภาอยู่ที่ทำเนียบขาวอย่างนิ่งดูดายหลายชั่วโมง
"นี่คือก่อกบฎด้วยอาวุธ พวกเค้าไม่ได้มาเพื่อรักษาแต่มาเพื่อปฏิเสธฉันทามติของประชาชน ไม่ได้มาเพื่อรักษาการเลือกตั้งที่โปร่งใสและยุติธรรมแต่มาเพื่อพลิกผลเลือกตั้ง ไม่ได้มาเพื่อรักษาศูนย์กลางของชาติแต่มาเพื่อโค่นล้มรัฐธรรมนูญ"
"ผมไม่ได้มาพูดฟื้นฝอยหาตะเข็บ ผมมาย้ำเพราะไม่ต้องการให้อดีตมันถูกฝังกลบไป เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่เราจะเดินหน้าต่อไปได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ชาติที่ยิ่งใหญ่ทำ ไม่ใช่การกลบฝัง หากแต่เป็นการเผชิญหน้ากับความจริง และเราก็เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่"
"ชาวอเมริกันที่รักทุกท่าน ความจริงที่น่าเศร้าคือ คำโกหกที่ถูกปั้นแต่งและเผยแพร่เพื่ออำนาจและผลกำไร"
ประธานาธิบดีไบเดน ยังระบุด้วยว่า "ต้องตัดสินใจว่าต้องการให้ชาตินี้เป็นแบบใด เป็นชาติที่ยอมรับความรุนแรงทางการเมืองว่าเป็นสิ่งปกติ เป็นชาติที่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐบางคนบิดเบือนฉันทามติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นชาติที่เมินเฉยต่อข้อเท็จจริง และดำรงอยู่ด้วยคำโกหก"
"เราจะยอมให้ชาติของเราเป็นแบบนั้นไม่ได้ หนทางที่จะก้าวต่อไปคือการยอมรับและอยู่ร่วมกับความจริงให้ได้ คำโกหกของผู้นำคนก่อนและสมาชิกพรรคที่กลัวอำนาจของเค้าบอกว่าวันปล้นอำนาจจริงๆ เริ่มที่วันเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คิดยังงั้นจริงเหรือ ท่านคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอครับ"
"คนที่ออกไปลงคะแนนเลือกตั้งท่านคิดว่าท่านออกไปปล้นอำนาจใครเหรอครับ หรือคิดว่ามันเป็นหน้าที่อันสูงส่งของพลเมืองอย่างการไปลงคะแนน พวกเบื้องหลังม็อบบุกสภาเค้าอยากให้ท่านมองว่าเลือกตั้งคือการปล้นอำนาจ ส่วนการบุกสภาคือฉันทามติที่แท้จริงของประชาชน"
"ความเป็นจริงก็คือการเลือกตั้งเมื่อปี 2563 เป็นการแสดงฉันทามติทางประชาธิปไตยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติเรา ยิ่งใหญ่เพราะมีผู้คนออกมาลงคะแนนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์กว่า 150 ล้านคน กลางการระบาดของโรคโควิด คนเหล่านี้สิควรได้รับคำชื่นชม ไม่ใช่ถูกโจมตี"
"หลายมลรัฐตอนนี้กำลังเขียนกฎหมายใหม่กันอยู่ ไม่ใช่เพื่อรักษาการเลือกตั้งไว้ แต่เพื่อปฏิเสธคะแนนเสียง ไม่ใช่แค่กดคะแนนเสียงแต่เพื่อบิดเบือนด้วย เพียงเพราะอดีตผู้นำแพ้การเลือกตั้ง แทนที่จะหาไอเดียอื่นๆ มาเรียกคะแนนเสียง
"กลับคิดว่าหนทางเดียวที่จะชนะ คือ การกดคะแนนและบิดเบือนผล มันผิด ไม่เป็นประชาธิปไตย และบอกตรงๆ ว่าไม่เป็นอเมริกัน"
รายงานระบุว่า เหตุที่เกิดขึ้นถูกถ่ายทอดไปทั่วโลกและสื่อบางสำนักขนานนามให้เป็น "วันอัปยศ" ของอเมริกา อย่างไรก็ตาม โพลสำรวจของรอยเตอร์พบว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันถึงร้อยละ 55 เชื่อคำกล่าวอ้างของทรัมป์ แม้การตรวจสอบจากหลายฝ่ายไม่พบมูลความจริง
นอกจากนี้ เหตุบุกอาคารรัฐสภายังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บกว่า 140 นาย โดยจ่าตำรวจ แฮร์รี ดึนน์ สังกัดหน่วยตำรวจนครบาลกรุงวอชิงตัน ระบุว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้นติดตาและกระทบกระเทือบจิตใจของตนอย่างมากเวลาต้องไปทำงาน
"ทำอย่างไรก็ลบล้างภาพติดตาเหล่านี้ออกไปไม่ได้ครับ มันอยู่ทุกหนแห่ง ยิ่งเป็นสถานที่ที่หากคุณต้องไปทำงานด้วยแล้ว" และว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าเค้าจะเป็นใครหน้าไหน" จ่าตำรวจนายดังกล่าว ระบุ