กลยุทธ์ “น้ำไม่ถึงนา เรียกหาเรา” ยกระดับกระจายน้ำชลประทานทั่วถึง

กรมชลประทานเดินหน้ายกระดับการจัดรูปที่ดินและระบบชลประทาน ผ่านกลยุทธ์ “น้ำไม่ถึงนา เรียกหาเรา” โดยสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 18 ใช้เป็นโมเดลแก้ปัญหาการสื่อสารและการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล หลังพบว่าหลายชุมชนยังไม่เข้าใจขั้นตอนพัฒนาระบบกระจายน้ำ ส่งผลให้ร่วมโครงการในระดับต่ำ ขณะที่จำนวนเจ้าหน้าที่มีจำกัดในการลงพื้นที่ให้คำแนะนำด้วยตนเอง
นายศรายุทธ งูทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินฯ ที่ 18 ระบุว่า พื้นที่ในความรับผิดชอบ 4 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว และนครนายก รวมกว่า 2.4 ล้านไร่ แต่มีเจ้าหน้าที่เพียง 11 คน ทำให้การพบปะเกษตรกรโดยตรงไม่สามารถทำได้ครบทุกพื้นที่ ประกอบกับเกษตรกรส่วนมากเป็นผู้สูงอายุทำให้การสื่อสารเชิงเทคนิคด้านชลประทานทำได้ยาก
สำนักงานจึงเริ่มใช้กลยุทธ์ “น้ำไม่ถึงนา เรียกหาเรา” ตั้งแต่ปี 2567 โดยผสานช่องทางสื่อสารออนไลน์และลงพื้นที่จริง ช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line Open-Chat และ Line Official ช่วยเข้าถึงเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้นำชุมชนที่ใช้เทคโนโลยีคล่องตัว ส่วนการสื่อสารแบบลงพื้นที่ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งการประชุมต่อหน้า ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ และจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ภายใน 48 ชั่วโมงเมื่อได้รับแจ้งปัญหา พร้อมใช้เครือข่าย Young Smart Farmer (YSF) เป็นตัวกลางสื่อสารกับผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดระบบออนไลน์
มาตรการทั้งหมดทำให้เกษตรกรรับรู้ถึงประโยชน์ของโครงการมากขึ้น และส่งผลต่อความร่วมมือที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยพื้นที่โครงการใหญ่ 3 พื้นที่เข้าร่วมครบ 100% ได้แก่
1. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา–นครนายก
ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 44,000 ไร่ เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 5,200 ครัวเรือน แผนปี 2568 จำนวน 2,000 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมเต็มจำนวน เพิ่มจากปีก่อนกว่า 204%
2. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานฤบดินทรจินดา จ.ปราจีนบุรี
ครอบคลุม 98,000 ไร่ เกษตรกรเป้าหมาย 14,500 ครัวเรือน แผนพัฒนา 2,000 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมครบ 100% เพิ่มจากปีก่อนกว่า 133%
3. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองพระสะทึง จ.สระแก้ว
ครอบคลุม 40,640 ไร่ แผนปี 2568 จำนวน 900 ไร่ เกษตรกรเข้าร่วมครบ 100%
นายศรายุทธ ระบุว่า เกษตรกรกว่า 90% พึงพอใจต่อรูปแบบบริการ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อที่สำนักงานได้เฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท หรือปีละ 60,000 บาท อีกทั้งยังสร้างความไว้วางใจระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้ปี 2567 สามารถพัฒนาพื้นที่รวม 2,400 ไร่ และในปี 2568 ขยายเพิ่มเป็น 4,900 ไร่ รวม 8 หมู่บ้านได้รับประโยชน์โดยตรง
ปัจจุบันมีเกษตรกรในพื้นที่ทั้ง 4 จังหวัดแจ้งความประสงค์ให้พัฒนาในส่วนที่ยังขาดน้ำรวมกว่า 40,000 ไร่ จากกว่า 2,300 ครัวเรือน อีกทั้งยังมีความต้องการขยายเพิ่มเติมใน 4 จุดใหม่ ได้แก่ โครงการชลประทานท่าลาด จ.ฉะเชิงเทรา อ่างเก็บน้ำห้วยยางและอ่างเก็บน้ำท่ากะบาก จ.สระแก้ว รวมถึงโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก รวมกว่า 11,000 ไร่
ด้านนายสุริยา ลีวิจิตร เกษตรกรรุ่นใหม่และสมาชิก YSF เล่าว่า เกษตรกรสูงอายุในพื้นที่จำนวนมากมีปัญหาน้ำเข้าแปลงไม่เต็มที่ แต่ไม่รู้ช่องทางแก้ไข ตนเคยทำงานกับกรมชลประทานมาก่อน จึงนำความรู้เรื่องชลประทานไปช่วยอธิบายและประสานกับเจ้าหน้าที่ให้เป็นระบบ การสื่อสารที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงชุมชนได้เร็ว ทำให้โครงการจัดรูปที่ดินในพื้นที่ดำเนินการได้รวดเร็วและแก้ปัญหาน้ำเข้าไม่ถึงแปลงได้ครบทุกแปลง
สำนักงานจัดรูปที่ดินกลางเตรียมนำโมเดลจากสำนักงานที่ 18 ขยายผลสู่หน่วยงานอื่น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจัดรูปที่ดินอีกกว่า 8.47 ล้านไร่ภายใน 20 ปี และรักษาพื้นที่ชลประทานเดิมอีกเกือบ 6 ล้านไร่ให้มีความยั่งยืน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
