ฮ่องกงติดโควิดพุ่ง 2 เท่า วันเดียว 1,160 คน แม้ปิดเมืองเข้ม
Hong Kong: ฮ่องกงติดเชื้อโควิดรายวันทำสถิติสูงสุดพุ่งขึ้นเกือบสองเท่า อยู่ที่กว่า 1,160 คน กลายเป็นบททดสอบที่ใหญ่ที่สุดต่อโยบาย “โควิดเป็นศูนย์”
เจ้าหน้าที่ฮ่องกง เปิดเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายวันในฮ่องกงทุบสถิติเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า อยู่ที่ 1,161 คนในวันพุธ (9 กุมภาพันธ์) ขณะที่ศูนย์กลางทางการเงินโลกแห่งนี้ กำลังต่อสู้กับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อ ซึ่งกำลังเป็นบททดสอบที่ใหญ่ที่สุดต่อนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์”
ฮ่องกงรายงานผู้ติดเชื้อเกือบ 4,000 คนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากเพียง 2 คนในเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่มากกว่า 17,000 คน ตั้งแต่ไวรัสโควิดเริ่มระบาดในปี 2020 และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 215 คน แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยกว่าเมืองใหญ่อื่น ๆ อีกหลายเมืองทั่วโลก
เจ้าหน้าที่ฮ่องกงตอบโต้ด้วยการใช้มาตรการควบคุมที่เข้มข้นที่สุดตั้งแต่เริ่มการระบาด ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจต่อประชา 7.5 ล้านคนในฮ่องกงมากขึ้น
แคร์รี แลม ผู้บริหารฮ่องกง แถลงในวันอังคาร (8 กุมภาพันธ์) ว่า จะห้ามประชาชนรวมกลุ่มกันเกิน 2 คน และปิดโบสถ์และร้านทำผมเพิ่ม รวมทั้งโรงเรียนและสนามกีฬาในร่ม ทำให้ประชาชนจำนวนมาก เร่งรีบไปยังร้านทำผมเพื่อตัดผมก่อนถูกบังคับให้ปิดบริการชั่วคราวจากวันพฤหัสบดีนี้ (10 กุมภาพันธ์)
ทั้งนี้ ฮ่องกงยึดมั่นยุทธศาสตร์ “โควิดเป็นศูนย์” ตามนโยบายของจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิดให้ได้ทั้งหมดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แลม กล่าวว่า ฮ่องกงไม่สามารถที่จะทดลองใช้ชีวิตร่วมกับไวรัสได้ คล้ายกับส่วนอื่น ๆ ของโลกที่ใช้แนวทางดังกล่าว เพราะกว่า 50% ของผู้สูงอายุยังไม่ได้ฉีดวัคซีน โดยประมาณ 80% ของประชาชนในฮ่องกง ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม แต่ผู้สูงอายุจำนวนมากยังลังเล และเจ้าหน้าที่แถลงในวันพุธว่า ผู้ป่วยสูงอายุ 2 คนในวัย 70 ปี เสียชีวิตจากโควิด
ส่วนเที่ยวบินโดยสารลดลงประมาณ 90% เพราะมาตรการจำกัดการเดินทาง ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรวมทั้งข้าราชการพลเรือนส่วนใหญ่ ทำงานจากบ้าน
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อ ฟิทช์ เรตติงส์ (Fitch Ratings) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ของฮ่องกง เหลืออยู่ที่ 1.5% จาก 3.0% เนื่องจากยุทธศาสตร์ “ติดเชื้อโควิดเป็นศูนย์” ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังคงใช้ไปจนถึงปี 2023
————
ภาพ: Reuters