บล.กสิกรฯมองแผนปฏิรูปภาษีเชิงบวก ส่งผลดีกำไรต่อหุ้นของ บจ.
#หนี้สาธารณะ #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์ โดย บล.กสิกรไทย
สบน.มองแนวโน้มหนี้สาธารณะยังคุมได้ดี
บล.กสิกรไทยจัดประชุม KS Expert Series ในหัวข้อ "หนี้สาธารณะและแนวโน้มนโยบายการคลัง" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายการเพื่ออธิบายเรื่องการปฏิรูปภาษีไทยจากทางเรา
ทั้งนี้ ทางสบน.มั่นใจและยืนยันว่าการบริหารจัดการนโยบายการคลังและหนี้สาธารณะของไทยเป็นไปด้วยดี ภายใต้กรอบ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่าการดำเนินนโยบายทางการคลังจะมีข้อจำกัดเพิ่มมากขึ้น แต่เราประเมินว่าแผนปฏิรูปภาษีทั้งหมดจะมีผลกระทบเชิงบวกสุทธิต่อ EPS ของตลาด
Key Highlights
สบน.มั่นใจแนวโน้มนนี้สาธารณะของไทย
เมื่อวันที่ 30 ม.ค. บล.กสิกรไทยจัดการประชุม KS Expert Series ในหัวข้อ "หนี้สาธารณะและแนวโน้มนโยบายการเงินการคลัง" โดยมีคุณโพธิรัตน์ กิจศรีโอภาค ผอ.สำนักพัฒนาตลาดตราสารหนี้รัฐบาล สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นวิทยากรหลัก โดยงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ย์รายการ KS Expert Series ของเราสำหรับปี 2568 ที่เรามองเป็นปีแห่ง "T" (Trump, Trade & Tariff, Tax, and Tech หรือ ทรัมป์ การค้าและภาษีศุลกากร ภาษี และเทคโนโลยี) ประเด็นสำคัญที่ได้จากการประชุมเมื่อวานนี้ คือ สบน.ยังคงมั่นใจและยืนยันว่านโยบายและฐานะการคลังของไทยยังสามารถบริหารจัดการได้ดีภายใต้กรอบของ พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
ใช้วิธีแบบอนุรักษ์นิยมในการตำนวณ แต่ตัวเลขสะท้อนฐานะการดลังยังแข็งแกร่ง
การใช้จ่ายทางการคลังคาดว่าจะยังคงสูงต่อ เนื่องจากรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากการฟื้นตัวที่ช้า โดยรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะดำเนินการภายใต้งบประมาณขาดดุลอีกในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า แต่ สบน.เชื่อว่ายังไม่มีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มเกณฑ์หนี้สาธาธารณะ ซึ่งหนี้สาธารณะของไทยปัจจุบันอยู่ที่ 11.9 ล้านลบ. คิดเป็น 64.41% ของ GDP ต่ำกว่าเกณฑ์เพดานหนี้ 70% โดย สบน.ย้ำว่าการคำนวณตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยใช้วิธีแบบอนุรักษ์นิยมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เนื่องจากไทยได้รวมหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และภาระผูกพันที่อาจมีในอนาคต ไว้ในการคำนวณ หากไม่รวมรายการเหล่านี้ อัตราส่วนหนี้จะลดลงเหลือประมาณ 50% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 60-80% และต่ำกว่าระดับหนี้ของญี่ปุ่นและองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ที่ 200%
กระบวนการหากต้องปรับเกณฑ์หนี้สาธารณะ
ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องเพิ่มเกณฑ์ฑ์หนี้สาธารณะให้เกิน 70% กระทรวงการคลังก็สามารถเสนอให้คณะกรรมการวินัยทางงบประมาณและการคลังพิจารณาปรับเกณฑ์ดังกล่าวได้เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการในปี 2563 แต่อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังอาจสามารถปรับวิธีในการคำนวณหนี้แทนเพื่อเลี่ยงการปรับเกณฑ์เพดานขึ้น โดยสามารถทำได้โดยการกำหนดนิยามหนี้สาธาธารณะใหม่ภายใต้บทบัญญัติทางกฎหมาย โดยไม่รวมหนี้สินของ FIDF และภาระผูกผันที่อาจมีในอนาคตในการคำนวณ แต่แนวทางนี้อาจต้องได้รับการตีความทางกฎหมายจากกฤษฎีกาและผ่านการเห็นชอบจากสภาซึ่งการดำเนินการค่อนข้างลำบากและซับซ้อนมากกว่า
Implication and Recommendation
ความยืดหยุ่นของนโยบายการคลังเริ่มถูกจำกัดมากขึ้น
เราเชื่อว่าพื้นที่การดำเนินนโยบายด้านการคลังเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น ทำให้รัฐบาลอาจต้องเผชิญความท้าทายในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการทำนโยบายประชานิยม ทั้งนี้ รัฐบาลอาจต้องเพิ่มรายรับจากภาษีเพื่อให้ทันกับการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งท้ายที่สุด รัฐบาลอาจจำเป็นต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เนื่องจากการจัดเก็บทำได้ง่ายและตรงไปตรงมา แต่อาจมีการพิจารณาพร้อมกับการออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบเชิงลบ โดยมาตรการที่อาจทำได้ เช่น ภาษีเงินได้แบบติดลบ รวมถึงการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทั้งนี้ หากนำมาตรการปฏิรูปภาษีทั้งหมดมาใช้ เราประเมินสุทธิแล้วจะมีผลกระทบเชิงบวกต่อEPS ของตลาดที่ประมาณ +3.3% ซึ่งประกอบด้วย -0.2% สำหรับ GMT, -5.0% สำหรับการขึ้น VAT 1%, +0.9% สำหรับการลดต้นทุนไฟฟ้าจาก 4.128 บาท เป็น 3.8 บาท, +5.1% สำหรับการลดภาษีเงินได้นิติบุคคคลจาก 20% เป็น 15% และ +2.5% สำหรับการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 35% เป็น 15% สำหรับกลุ่มหุ้นที่เรายังคงชอบคือกลุ่มธนาคาร (KKP และ KTB), กลุ่มการเงิน (MTC และ TIDLOR), กลุ่มค้าปลีก (CPALL และ CRC), กลุ่มโรงพยาบาล (BCH และ BDMS), และกลุ่มท่องเที่ยว (ERW และ BA)