‘มนัญญา’ ติวเข้มล้งภาคตะวันออก พร้อมกรุยทางส่งออกบก-เรือ-อากาศ รับมือผลผลิตทุเรียนเพิ่ม 20%
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมและมอบนโยบายแนวทางการส่งออกผลไม้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฤดูกาลผลิต ปี 2565 ให้แก่ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ภาคตะวันออก ที่ห้องประชุม 135 กระทรวงเกษตรฯ ผ่านการประชุมออนไลน์ระบบ Zoom Meeting ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาทุกด่านของจีนเข้มงวดตรวจสอบสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากทุกประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของศัตรูพืชและเชื้อโควิดไม่ให้ปนเปื้อนไปกับสินค้า จึงได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิด และรายงานให้ทราบทุกระยะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าผลไม้ของไทย
น.ส.มนัญญากล่าวอีกว่า กระทรวงได้เร่งหาแนวทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรได้จัดฝึกอบรมให้กับผู้ประกอบการ เพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจการทำสวนผลไม้ในยุคโควิด-19 อยากให้ล้งต่างๆ ร่วมมือกันสร้างโมเดล “ล้งปลอดโควิด-19” เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าต่างประเทศ ล่าสุดได้มีนโยบายให้มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติเฝ้าระวังศัตรูพืชกักกัน หรือห้องแลปให้ทันสมัย เพื่อตรวจสอบสารตกค้าง แมลงศัตรูพืช และเชื้อโควิด-19 สร้างความมั่นใจให้กับคุณภาพสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศปลายทาง โดยจะนำร่องที่ จ.หนองคาย ขณะนี้ในอยู่ในขั้นตอนจัดตั้งงบประมาณปี 2566 แล้ว
น.ส.มนัญญากล่าวอีกว่า สำหรับในฤดูกาลผลิตปี 2565 จากข้อมูลการเพาะปลูกไม้ผลในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จันทบุรี ระยอง และตราด มีการปลูกผลไม้ส่งออกที่สำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และลำไย พื้นที่รวมกว่า 7 แสนไร่ คาดการณ์ว่าปี 2565 จะมีผลผลิตส่งออกประมาณ 1.3 ล้านตัน ทำรายได้เข้าประเทศเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท โดยลำไยอยู่ในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนทุเรียนและมังคุดผลผลิตจะออกสู่ตลาดตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และมากที่สุดในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 ซึ่งผลผลิตเกือบทั้งหมดจะส่งออกประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก
“ได้รับรายงานจากนายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี คาดว่าในปีนี้จะมีผลผลิตทุเรียนกว่า 7 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20% กระทรวงเกษตรฯจะพยายามช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกมากโดยได้มีการประสานระบบการขนส่งทั้งทางบก เรือ และอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวกกระจายผลผลิตในการส่งออกสินค้าผลไม้ให้มากที่สุด นอกจากนั้น จะเชิญทูตเกษตรจีนและประเทศคู่ค้าผลไม้ภาคตะวันออก ประชุมหารือร่วมกันผ่านระบบออนไลน์ สอบถามถึงความต้องการสินค้า รวมถึงมาตรการสินค้านำเข้าส่งออกว่าต้องมีกฎเกณฑ์การพิจารณาอย่างไร เพื่อนำมาปรับปรุงผลผลิตตั้งแต่ต้นทาง ลดอุปสรรคและลดเวลาการตรวจที่ด่านต้นทางและปลายทาง รวมถึงลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสินค้าในแต่ละล็อต เป็นการตรวจสอบสินค้าเกษตรล่วงหน้าก่อนส่งออก
“เรื่องระบบโลจิสติกส์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการขนส่งผลไม้ ซึ่งกรณีขนส่งทางเรือจะใช้เวลา 7 วัน รถไฟ 1 วัน เครื่องบิน 1-2 ชั่วโมง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนที่ต้องนำมาคิดทบทวนให้ครอบคลุมทุกด่าน จะพยายามช่วยเหลือในการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการขนส่งทางเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องไม่มีการตัดทุเรียนอ่อน ขอความร่วมมือผู้ประกอบการทุกสวน ทุกล้งต้องช่วยกัน และสร้างโมเดลล้งปลอดโควิด-19 สร้างความน่าเชื่อถือให้จีนและประเทศคู่ค้าทุกประเทศ กระทรวงหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการให้ความสำคัญตามมาตรการของจีนเพื่อป้องกันโควิด-19 และศัตรูพืชในผลไม้อย่างเคร่งครัด เราในฐานะรัฐมนตรีช่วยฯ ก็เป็นชาวสวนคนหนึ่ง เข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี และพร้อมจะฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกัน จะเร่งแก้ปัญหาให้ทันท่วงทีและเคียงข้างเกษตรกร จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” น.ส.มนัญญา กล่าว
น.ส.มนัญญากล่าวว่า ด่านนำเข้า-ส่งออก ตามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบผลไม้ผ่านประเทศที่สาม ในการขนส่งทางบก รวมจำนวนทั้งสิ้น 16 ด่าน เป็นด่านของไทย 6 ด่าน ประกอบด้วย ด่านเชียงของ มุกดาหาร นครพนม บ้านผักกาด บึงกาฬ หนองคาย และด่านของจีน 10 ด่าน ประกอบด้วย โหย่วอี้กว่าน โม่ฮาน ตงซิง ด่านรถไฟผิงเสียง ด่านรถไฟโม่ฮาน เหอโข่ว ด่านรถไฟเหอโข่ว หลงปัง เทียนเป่า และสุยโข่ว