ข่าวที่สุดแห่งปี : มหาอุทกภัยหาดใหญ่ 72 ชั่วโมงที่เมืองเศรษฐกิจภาคใต้หยุดหายใจ

มหาอุทกภัยหาดใหญ่ เมื่อเมืองเศรษฐกิจหยุดพร้อมกันในเวลาไม่ถึง 72 ชั่วโมง
หากต้องเลือกเหตุการณ์หนึ่งที่อธิบายภาพรวมของปี 2568 ในมุมข่าวได้ชัดเจนที่สุด “มหาอุทกภัยหาดใหญ่” คือเหตุการณ์ที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงซ้ำ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เมืองเศรษฐกิจหลักของภาคใต้เผชิญแรงกดดันพร้อมกันทั้งจากธรรมชาติ โครงสร้างเมือง และระบบเศรษฐกิจ จนต้องหยุดการทำงานแทบทุกด้านในระยะเวลาอันสั้น
ปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของจังหวัดสงขลา ก่อนจะเพิ่มความรุนแรงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันทั้งพื้นที่ต้นน้ำและตัวเมืองหาดใหญ่ ผลที่ตามมาคือการหยุดชะงักของการคมนาคม การค้า การท่องเที่ยว ระบบสาธารณูปโภค และวิถีชีวิตของประชาชนจำนวนมาก ภายในเวลาไม่ถึง 72 ชั่วโมง
เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกเรียกขานว่า “มหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568” เพราะเป็นช่วงเวลาที่ความเสี่ยงหลายด้านเกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งฝนในระดับสุดขั้ว ปริมาณน้ำที่เกินศักยภาพการระบายของเมือง และการแจ้งเตือนภัยที่เหลือเวลาให้ประชาชนเตรียมตัวค่อนข้างจำกัด จนเมืองทั้งเมืองต้องรับแรงกระแทกในเวลาอันรวดเร็ว
น้ำไม่ได้มาเป็นจุด แต่เข้ามาทั้งระบบเมือง
ในมุมข่าว สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้แตกต่างจากน้ำท่วมหลายครั้งที่ผ่านมา คือรูปแบบความเสียหายที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งระบบ หาดใหญ่เป็นเมืองในแอ่งลุ่มต่ำ รับน้ำจากพื้นที่สูงโดยรอบ เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำหลากจากต้นน้ำไหลลงมาพร้อมกับน้ำฝนในเขตเมือง ระบบระบายน้ำจึงต้องรับภาระเกินขีดความสามารถในช่วงเวลาเดียวกัน
ภาพที่เกิดขึ้นคือถนนสายหลักกลายเป็นทางน้ำ รถยนต์จมน้ำจำนวนมาก ร้านค้าในย่านเศรษฐกิจปิดตัวแบบฉุกเฉิน โรงแรมและธุรกิจบริการหยุดดำเนินการ ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ชะงัก เมืองซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเดินทางและการค้าของภาคใต้ กลับกลายเป็นเมืองที่การเคลื่อนไหวแทบหยุดนิ่ง
ความเสียหายกี่บาท คำถามเดียว แต่มีหลายกรอบคำตอบ
หลังระดับน้ำเริ่มลดลง คำถามที่ตามมาทันทีคือ “ความเสียหายเท่าไร” ซึ่งเป็นคำถามที่ห้องข่าวต้องอธิบายอย่างรอบคอบ เพราะตัวเลขความเสียหายของอุทกภัยครั้งนี้มีหลายชุด และแตกต่างกันตามกรอบการประเมิน
ในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด ภาคธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะหอการค้าจังหวัดสงขลา ประเมินว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจของหาดใหญ่เพียงเมืองเดียวอยู่ที่ มากกว่า 20,000 ล้านบาท สูงกว่าน้ำท่วมใหญ่ปี 2553 ซึ่งเคยประเมินไว้ราว 17,000 ล้านบาท และใกล้เคียงกับการประเมินของสถาบันวิจัยเอกชนที่ให้ตัวเลขราว 25,000 ล้านบาท
นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งเลือกใช้กรอบที่แคบลง โดยคำนวณเฉพาะกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักในเขตเมือง ตัวเลขจึงอยู่ในช่วง 5,750–12,100 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 7.5–16% ของมูลค่าเศรษฐกิจเมือง (GPP) ซึ่งประเมินไว้ราว 75,000 ล้านบาท
แต่เมื่อขยายกรอบไปมองทั้งระบบเศรษฐกิจเมือง ภาพรวมความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อรวมความเสียหายจากรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านเรือน ร้านค้า โกดังสินค้า และโครงสร้างพื้นฐานในเขตเทศบาลที่มีประมาณ 80,000 ครัวเรือน แหล่งข่าวท้องถิ่นและผู้บริหารบางส่วนประเมินว่า ตัวเลขรวมอาจ แตะระดับแสนล้านบาท โดยเฉพาะรถยนต์เพียงอย่างเดียวมีการประเมินความเสียหายในระดับ หลักหมื่นล้านบาท
ตัวเลขแต่ละชุดจึงไม่ขัดแย้งกัน แต่เกิดจากการมองความเสียหายในคนละระดับ
จากหาดใหญ่สู่สงขลา และขยายไปทั้งภาคใต้
เมื่อขยับมุมมองออกจากตัวเมืองหาดใหญ่ ภาพความเสียหายยิ่งชัดเจนขึ้นในระดับจังหวัดและภาคใต้ หลายจังหวัดเผชิญฝนตกหนักในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้การประเมินต้องครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าเดิม
หน่วยงานวิจัยเศรษฐกิจหลายแห่งประเมินว่า อุทกภัยภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาทภายในกรอบเวลา 1 เดือน โดยระบุว่าจังหวัดสงขลาและอำเภอหาดใหญ่เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
นักวิชาการบางชุดข้อมูลประเมินในกรอบที่กว้างขึ้นว่า น้ำท่วมใน 9 จังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ 19–27 พฤศจิกายน 2568 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมประมาณ 140,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น ราว 15% ของ GPP รวมทั้ง 9 จังหวัด และในจำนวนนี้ จังหวัดสงขลามีความเสียหายสูงสุดประมาณ 75,000 ล้านบาท
หากตัดความเสียหายด้านทรัพย์สินออก และพิจารณาเฉพาะผลกระทบจากการหยุดชะงักของภาคธุรกิจและบริการ ตัวเลขจะอยู่ในช่วง 11,800–23,600 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ไม่มีบ้านหรือรถเสียหาย เมืองก็สูญเสียรายได้ทันทีจากการหยุดเดินของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ข่าวท้องถิ่นที่ขยายผลถึงระดับประเทศ
ในเชิงมหภาค บทวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายแห่งประเมินว่า อุทกภัยภาคใต้รอบนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือราว 0.13% ของ GDP ประเทศ ในเดือนแรกหลังเกิดเหตุ
ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประเมินว่า วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่และภาคใต้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2568 ลงมาใกล้ระดับ 2% และเฉพาะเดือนธันวาคม ประเทศอาจสูญเสียรายได้จากผลกระทบทางตรงและทางอ้อม มากกว่า 30,000 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์มหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568 จึงถูกจัดวางในฐานะข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ ไม่ใช่เพียงข่าวภัยพิบัติในพื้นที่
ทำไมจึงถูกยกให้เป็น “ที่สุดแห่งปี”
ในมุมมองของข่าว เหตุการณ์นี้ถูกยกเป็นที่สุดแห่งปี เพราะทำให้เห็นหลายประเด็นในช่วงเวลาเดียว สภาพอากาศมีแนวโน้มรุนแรงและสุดขั้วมากขึ้น เมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ยังรับแรงกดดันได้จำกัดเมื่อทุกระบบต้องทำงานพร้อมกัน การเตือนภัยยังเหลือเวลาสำหรับการตัดสินใจของประชาชนไม่มาก และความเสียหายทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไปแม้ระดับน้ำจะลดลงแล้ว
ที่สุดแห่งปี 2568 ไม่ได้หยุดอยู่แค่การย้อนดูระดับน้ำที่ท่วมสูงเพียงใด หากแต่เป็นการเปิดคำถามต่อไปว่า เมืองอย่างหาดใหญ่และประเทศไทยมีความพร้อมมากน้อยเพียงใดในการรับมือภัยพิบัติรูปแบบใหม่ ที่มาเร็ว รุนแรง และมีต้นทุนสูงขึ้นทุกปี คำถามนี้ยังคงอยู่ และยังรอคำตอบจากทุกภาคส่วนในสังคม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
