AOT เตรียมนัดถก"คิงเพาเวอร์"พรุ่งนี้ เร่งสร้างรายได้ด้านอื่นทดแทน

#AOT #ทันหุ้น-AOT เตรียมนัดหารือกับ"คิง เพาเวอร์" ในวันพรุ่งนี้(17 มิ.ย.) ขณะเดียวกันจะตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งจ้าง 2 สถาบันการศึกษาร่วมกันศึกษาหาแนวทางคาดเสร็จใน 2 เดือน ขณะเดียวกันก็เร่งสร้างรายได้อื่นเข้ามาทดแทน
จากกรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัดหรือ KPD ได้ส่งหนังสือมายังบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท.(AOT) เพื่อหารือแนวทางการยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีในสนามบิน หลังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นักท่องเที่ยวจีนลดลง รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดย KPD มีวัตถุประสงค์เพื่อขอหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้สามารถยังคงประกอบกิจการต่อไปได้ หรือข้อยุติอื่น ๆ รวมถึงแนวทางในการพิจารณาหากจะมีการขอยกเลิกสัญญาฯ ซึ่ง ทอท. และ KPD ควรต้องเจรจาร่วมกันเพื่อให้เกิดแนวทางแก้ไขอันเป็นธรรมต่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายนั้น
น.ส. ปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ (รักษาการ) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด AOT) มีมติอนุมัติให้จัดตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหาประกอบกิจการจัดจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT โดยมีนายศิโรตม์ ดวงรัตน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด) AOT เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และจากที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษา 2 แห่งเข้าร่วมศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ ได้ให้แนวทางการศึกษาใน 2 แนวทางคือ 1.ยกเลิกสัญญา 2.การปรับปรุง-แก้ไขสัญญา โดยไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของ AOT อย่างมีนัยสำคัญ เบื้องต้นคาดว่าจะได้มหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งภายใน 2 สัปดาห์ โดยกำหนดระยะเวลาการศึกษาทั้งเชิงการดำเนินธุรกิจ ด้านการเงิน และด้านกฎหมายภายใน 2 เดือนก่อนรวบรวมนำเสนอกลับเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อพิจารณาแนวทางที่ชัดเจน
ทั้งนี้ AOT ได้นัดพบกับกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ในวันพรุ่งนี้ (17 มิ.ย.2568) เวลา 13.00 น.เป็นต้นไปเพื่อทบทวน – ทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน เพื่อนำไปสู่แนวทางการปก้ไขปัญหาที่ตรงจุด ร่วมกันในอนาคต
ปัจจุบันรายได้จากกลุ่มคิงเพาเวอร์ คิดเป็นสัดส่วนราว 17% ของรายได้รวม AOT ณ สิ้นปี 2566/2567 ที่ทำได้ราว 6.78 หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนระดับหนึ่ง แต่ปัจจุบัน AOT มีรายได้จากฝั่งธุรกิจการบิน (Aero) ที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้ง อัตตราค่าบริการผู้โดยสาร (PSC: Passenger Service Charge) การบริหารจัดการคลังสินค้า การให้บริการภาคพื้นภายในท่าอากาศยาน ค่าพัฒนาอาคารผู้โดยสาร (PFC) รวมถึงพิจารณาปรับขึ้นอัตราค่าบริการที่เรียกเก็บอยู่ ณ ปัจจุบันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับค่าบริการที่ท่าอากาศยานนานาชาติหลายประเทศทั่วโลกเรียกเก็บ
ขณะที่รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่การบิน (Non Aero) ยังอยู่ระหว่างหาเอกชนผู้ร่วมพัฒนาพื้นที่กว่า 2.5 พันไร่โดยรอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งมูลค่ารวมกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเจรจาในเชิงยืดหยุ่นสัญญาเช่า ทั้ง Leasehold (ราชพัสดุ) และ Freehold (กรรมสิทธิ์ AOT) โดยกำหนดระยะยาวสูงสุดถึง 30 ปี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
