รีเซต

"ทรัมป์" สั่งแบน TikTok ภัยความมั่นคงหรือแค่เสียหน้า?

"ทรัมป์" สั่งแบน TikTok ภัยความมั่นคงหรือแค่เสียหน้า?
TNN ช่อง16
3 สิงหาคม 2563 ( 15:08 )
233

วันนี้( 3 ส.ค.63) ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศแบน TikTok แอพลิเคชั่นแชร์คลิปวิดีโอสั้นยอดฮิตของบริษัทไบท์แดนซ์ของประเทศจีน ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ด้านซีอีโอของบริษัทไมโครซอฟท์ ซัทยา นาเดลลาและพันธมิตร ได้เจรจาร่วมกับปธน.ทรัมป์ ว่า จะดำเนินการเจรจากับบริษัทไบท์แดน์ซ และคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ พร้อมกันนี้นายทรัมป์ยังได้ให้เวลาบริษัทไบท์แดนซ์ 45 วันให้ขายแอพฯ TikTok ให้กับทางไมโครซอฟท์ทันที

แผนการแบน TikTok ของทรัมป์ ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกพรรครีพับลิกัน โดยส.ว.ลินซีย์ เกรย์แอม ได้ทวีตข้อความเห็นดีกับแผนการให้ไมโครซอฟท์เข้าซื้อ TikTok โดยระบุว่า เป็นการทำธุรกิจแบบวิน-วิน หรือการได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย 

-TikTok มีผู้ใช้ต่อเดือน 800 ล้านราย (active users)

-57% ของผู้ใช้อยู่ในจีน อีก 36% อยู่ในเอเชีย

-ตลาดใหญ่สุดนอกจีน คืออินเดีย แต่ถูกแบนไปแล้ว พร้อมกับแอ๊พจีนอื่นๆช่วงที่สองชาติเผชิญสถานการณ์ตึงเครียด

-ในสหรัฐฯมีการดาวน์โหลดแอพ TikTok 46 ล้านครั้ง

ดีลไมโครซอฟท์-TikTok

การเข้าซื้อของไมโครซอฟท์จะครอบคลุมกิจการของ TikTok ในสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และไมโครซอฟท์อาจเชิญชวนนักลงทุนรายอื่นๆเข้าร่วมซื้อหุ้นส่วนน้อยด้วย โดยการเจรจาระหว่างไบท์แดนซ์ และ ไมโครซอฟท์ จะต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการเพื่อการลงทุนต่างชาติในสหรัฐและรัฐบาลสหรัฐฯมีอำนาจในการโต้แย้งข้อตกลงได้

ไมโครซอฟท์ย้ำว่า จะเพิ่มการปกป้องเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ รวมถึงจะโอนถ่ายข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันทุกคนกลับเข้ามาในสหรัฐฯและลบออกจากเซิฟเวอร์ที่อยู่ในต่างประเทศทั้งหมด

ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการของไมโครซอฟท์ ถือเป็นการปฏิวัติบริษัทตนเองเช่นกัน เพราะถึงแม้ไมโครซอฟท์จะเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นของตนเอง นอกเหนือไปจาก LinkedIn ที่เป็นแพลตฟอร์มเครือข่ายคนทำงาน การเข้าซื้อกิจการของ TikTok จะทำให้ไมโครซอฟท์เข้าถึงตลาดคนรุ่นเยาว์ และเข้าสู่ธุรกิจสื่อสังคมออนไลน์และการโฆษณาอย่างเต็มรูปแบบ ที่ปัจจุบันมีเฟซบุ๊คและกูเกิลเป็นผู้ครองตลาดอยู่

ท่าทีของ TikTok

สำนักงานของ TikTok ในสหรัฐซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองคัลเวอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ออกแถลงการณ์ว่า “ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 บริการของ TikTok ช่วยสร้างความบันเทิงและเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงให้กับชาวอเมริกัน”

TikTok ยืนยันว่า ข้อมูลของผู้ใช้งานในสหรัฐฯย่อมอยู่ภายในสหรัฐฯและมีระบบป้องกันแน่นหนา ขณะที่ผู้ลงทุนรายใหญ่ลำดับต้นๆของTikTok ในสหรัฐมาจากภายในประเทศเช่นกัน นอกจากนี้ย้ำ TikTok ยึดมั่นอย่างเคร่งครัดในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานทุกคน ควบคู่ไปกับการสร้างความบันเทิง และมีส่วนสนับสนุนกับการสร้างงานให้กับชาวอเมริกันทุกคนต่อไป

แถลงการณ์ของ TikTok ยังระบุว่า บริษัทได้จ้างงานเกือบ 1,000 ตำแหน่งในสหรัฐฯ และกำลังจะจ้างงานอีกราว 10,000 คน ทั้งนี้ TikTok เริ่มให้บริการในสหรัฐฯเมื่อสองปีก่อน และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ 

แรงจูงใจในการแบน ภัยความมั่นคงจริงหรือ?

นิตยสารฟอร์บส์ตั้งคำถามว่า ภัยความมั่นคงคือเหตุผลหลักจริงหรือไม่ที่ทำให้ทรัมป์สั่งแบนแอพฯ TikTok ในสหรัฐฯ เพราะแท้จริงแล้วอาจไม่ได้เป็นการแบนเพราะภัยความมั่นคงที่ซับซ้อน แต่อาจมาจากการหน้าเพราะ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่วัยรุ่นอเมริกันใช้ในการทำลายการหาเสียงครั้งแรกของทรัมป์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่เมืองทัลซา รัฐโอกลาโฮมา

เหล่าวัยรุ่นได้ออกแคมเปญต่อต้านการปราศรัยที่เมืองทัลซาของทรัมป์ ด้วยการเรียกร้องให้ผู้คนไปลงทะเบียนของตั๋วเข้าฟังทรัมป์ปราศรัย แต่ไม่ต้องไปร่วมงานจริง แคมเปญดังกล่าวกระจายอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้ใช้ TikTok และกลุ่มแฟนเพลง K-Pop ในทวิตเตอร์ จนทำให้มีคนเข้าไปลงทะเบียนเข้าฟังทรัมป์หาเสียงเกือบล้านคน และนั่นทำให้ทีมหาเสียงทรัมป์เข้าใจผิดว่าคนจะมามาก แต่กลับกลายเป็นถูกหลอกเพราะในวันจริง มีผู้มาร่วมเงานเพียงหนึ่งในสามของพื้นที่ศูนย์ประชุม

แมรี่ โจ โล๊บบ์ แกนนำเคลื่อนไหวต่อต้านการปราศรัยของทรัมป์ใน TikTok กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีผลต่อการหาเสียงของทรัมป์จริง และกลุ่มคน Gen Z ทำให้ทรัมป์ดูแย่ ขณะที่เครเวอร์ สแล็ค วัยรุ่ยจากลอสแองเจลิสที่จองตั๋วฟังทรัมป์ปราศรัย 6 ใบแต่ไม่ได้ไปร่วมงานมองว่า แคมเปญใน TikTok คงทำให้ทรัมป์รู้สึกแย่

ในตอนแรกทีมหาเสียงทรัมป์กล่าวโทษว่าเป็นเพราะสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนไม่กล้าออกจากบ้าน และยังโทษการประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวด้วย

ฟอร์บส์ยังตั้งคำถามว่าก่อนหน้านื้ทรัมป์อาจไม่รู้จัก TikTok เลยด้วยซ้ำ เพราะการทวีตข้อความของเขาที่ผ่านมา ไม่เคยมีการพาดพิงถึง TikTok โดยเฉพาะในช่วงแรกๆของการกลับมาหาเสียงที่เมืองทัลซา เขาก็ยังไม่เคยทวีตข้อความเกี่ยวกับ TikTok

แต่หลังจากนั้นเพียงสองสัปดาห์ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯคนแรกที่กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะแบน TikTok และหลังจากนั้นเป็นต้นมา TikTok ได้กลายเป็นภัยด้านความมั่นคงของสหรัฐฯที่ต้องรีบจัดการอย่างรวดเร็ว ซึ่งทรัมป์ได้ขู่ว่าจะจัดการแบนทันที

เหล่าวัยรุ่นอเมริกันหลายคนระบุกับฟอร์บส์ว่า หาก TikTok ล่มไป พวกเขาก็จะหาทางโจมตีทรัมป์ได้อยู่ดี ต่อให้จะพยายามแบนไปถึงอินสตาแกรมหรือ Snapchat จากไวไฟของโรงเรียน แต่พวกเขาก็จะเล่นผ่าน VPN แทน หากห้ามไม่ให้เล่นอะไร พวกเขาก็จะหาทางเข้าไปเล่นได้อยู่ดี นอกจากนี้บรรดา influencer ใน TikTok ก็เริ่มมองหาทางหนีทีไล่แล้ว ด้วยการแจ้งผู้ติดตามให้ไปตามแคมเปญต่อต้านทรัมป์ของพวกเขาต่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ และพวกเขาไม่แคร์อะไร เพราะยังมีอีกเป็นล้านแพลตฟอร์มให้พวกเขาได้เลือกใช้นั่นเอง


เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง