ตั้งกฎเอง โกงบัตรเขย่ง ย้อนดูการเลือกตั้งเกาหลีใต้ กว่าจะมาเป็นคูหาที่สะท้อนเสียงประชาชน

โกงเลือกตั้ง แอบสลับบัตรเลือกตั้ง มีบัตรเขย่ง ตั้งกฎให้ตัวเองชนะ เกาหลีใต้ผ่านการเลือกตั้งที่มีการโกงมามากมาย
และในวันนี้ทั่วประเทศเกาหลี ก็กำลังมีการจัดเลือกตั้ง และลงคะแนนอย่างเข้มข้นอีกครั้ง เพื่อเลือกผู้นำคนใหม่ แทนยุน ซ็อก-ย็อลที่ถูกถอดถอน และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี ซึ่งแม้ประเทศนี้จะขึ้นชื่อว่า เป็นประเทศที่ประธานาธิบดีต้องขึ้นโรง ขึ้นศาล และแทบไม่มีผู้นำคนไหนไม่ทุจริต แต่ก็ยังเรียกได้ว่าประเทศนี้ก็มีสถาบันที่ตรวจสอบถ่วงดุล และสะท้อนประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง
แต่กว่าเกาหลีใต้ จะมีการเลือกตั้งที่เป็นคูหาประชาธิปไตยจริงๆ นั้น ก็ผ่านการต่อสู้ยาวนาน ก่อนจะเปลี่ยนผ่านจากระบบเผด็จการที่ก็ใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เป็นการเลือกตั้งของประชาชน ที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ด้วย
การลงคะแนนครั้งแรก สู่การโกงเลือกตั้งสุดฉาว
หลังผ่านมรสุมของสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเกาหลีไปได้ เกาหลีใต้จัดการเลือกตั้งครั้งแรก คือการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1948 ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลให้มีการจัดตั้งรัฐสภา ที่จากนั้นได้เลือก อี ซึงมัน ที่เป็นบุคคลสำคัญในการต่อสู้เพื่อเอกราชของเกาหลีใต้ เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ จัดตั้งรัฐธรรมนูญ และตอกย้ำถึงรากฐานของสาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้
การกํากับดูแลของสหประชาชาตินั้น เป็นเพื่อสร้างความมั่นใจ และความชอบธรรมหลังการเปลี่ยนผ่านของประเทศด้วย โดยผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งรัฐสภาจะมีอํานาจในการร่างและตรารัฐธรรมนูญ ซึ่งกําหนดรูปแบบการปกครองของประเทศใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในตอนนั้นรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้กำหนดให้ประธานาธิบดีอยู่ได้วาระละ 4 ปี และมากที่สุด 2 สมัยเท่านั้น
แต่แล้วเพิ่งมีการเลือกตั้งไปได้ไม่เท่าไหร่ ประเทศเกาหลีก็เจอกับการทุจริต พยายามแก้กฎการเลือกตั้ง เพื่อใช้การเลือกตั้งเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการอยู่ในตำแหน่งได้ โดยในการดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 อดีต ปธน.อี ได้พยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนได้อยู่ในตำแหน่งมากกว่า 2 สมัย และในการเลือกตั้งหลังจากนั้น พรรคของอีเอง ยังได้ใช้กลวิธีที่มิชอบ เพื่อชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ การข่มขู่ การให้สินบน หรือการอาศัยกฎหมายด้านความมั่นคงเป็นเครื่องมือ
และในการเลือกตั้งสมัยที่ 4 ของเขา ในปี 1960 อียังคงชนะด้วยผลลัพธ์ 88.7% แต่การเลือกตั้งนี้ ถูกขนานนามว่า “การเลือกตั้งที่โกง ณ วันที่ 15 มีนาคม” และถูกยกว่าเป็นการเลือกตั้งหนึ่งที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้
เหตุผลแรกที่ทำให้การเลือกตั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการเลือกตั้งสุดโกง เพราะผู้สมัครฝ่ายค้าน โช บยองอ๊ก ได้เสียชีวิตระหว่างแคมเปญเลือกตั้ง ทำให้อี กลายเป็นผู้สมัครคนเดียว ทั้งตำรวจ และรัฐบาลยังใช้อำนาจปิดปากข่มขู่ประชาชน ทำการโกงบัตรเลือกตั้ง เช่น มีการลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งก่อนบัตร 40% ก่อนเปิดคูหา จัดการลงคะแนนแบบกลุ่ม ไปถึงการเปลี่ยนกล่องคะแนนเลือกตั้งด้วย
จนสุดท้ายการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสนี้ก็ถูกประชาชน โดยเฉพาะขบวนการนักศึกษาประท้วงเรียกร้องให้อีลาออก และจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งช่วงแรกมีการปราบปรามจากฝั่งทางการ จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 130 คน และในที่สุดการกดดันจากประชาชน ก็ทำให้อีประกาศลาออก และลี้ภัยออกนอกเกาหลีใต้ไป
กาเลือกใคร ก็ได้ผู้นำคนเดิม : การเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร
หลังอีลงจากตำแหน่ง เกาหลีใต้ก็ได้ ‘ยุน โบซอน’ ผู้นำคนใหม่จากการเลือกตั้งอีกครั้ง แต่ดำรงตำแหน่งไปได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2 ปี จากสถานการณ์การเมืองภายในที่วุ่นวาย ไม่เป็นเอกภาพ เปลี่ยนคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง ก่อนที่กองทัพตัดสินใจทำรัฐประหาร ยึดครองอำนาจทางการเมือง และยุนเองก็ลาออกในเวลาต่อมา ทำให้อำนาจผู้นำไปอยู่ที่ พัค จุงฮี ผู้นำทหาร
พัคเองก็ลงเลือกตั้งครั้งแรกคือในปี 1963 หลังทำการรัฐประหารได้ 2 ปี ซึ่งเขาได้รับชัยชนะฉิวเฉียดเพียง 1.5% เท่านั้น ก่อนจะลงเลือกตั้งซ้ำอีกหลายครั้ง ตลอด 18 ปีที่ดำรงตำแหน่ง คือในปี 1967, 1971, 1972, 1978 ก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหารในปี 1980
การเลือกตั้งของพัคนั้น มีถึง 2 ครั้งที่เป็นการลงเลือกตั้งคนเดียว ขาดฝ่ายค้าน ไร้คู่แข่ง ซึ่งเป็นไปเพียงเพื่อรักษาอำนาจการปกครองของเขา ทั้งการเลือกตั้งของเขายังมักค้านสายตาประชาชนผู้ลงคะแนน รวมถึงยังแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันโดยตลอดด้วย ทั้งในยุคของพัคเอง เขาได้เปลี่ยนวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีมาให้เป็น 6 ปีต่อวาระด้วย
แต่ภายหลังการเสียชีวิตของพัค ระบอบเผด็จการก็ไม่ได้ตายไปพร้อมๆ กับเขา แต่ยังคงมีการรัฐประหารอีกครั้ง โดยชอน ดูฮวัน ก่อนที่ชอนจะจัดเลือกตั้ง 2 ครั้งในยุคของเขา คือปี 1980 และ 1981 ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่วุ่นวาย และไม่โปร่งใส แต่เขาก็กวาดคะแนนเสียงส่วนใหญ่ไปได้ และปกครองเกาหลีใต้ภายใต้ระบอบเผด็จการ
เมื่อการเลือกตั้ง เป็นกลไกสะท้อนเสียงประชาชน
หลังอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมายาวนานเกือบ 20 ปี ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และขับไล่เผด็จการทหารก็ได้รับชัยชนะในปี 1987 ซึ่งหลังจากนั้นเองเป็นจุดที่ถูกมองว่า ‘การเลือกตั้ง’ เป็นกลไกที่วัดความต้องการของประชาชนเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มากกว่าแค่เครื่องมือสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลเผด็จการ
แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ การเลือกตั้งในเดือนธันวาคม ปี 1987 น ก็ยังทำให้นายทหารอย่าง โร แทอู ซึ่งเป็นเหมือนมือขวาของชอน ดูฮวัน และมีส่วนร่วมในการปราบปรามประชาชนอย่างหนักได้รับการเลือกตั้งอีก แม้จะด้วยคะแนนเพียง 37%
นั่นก็เป็นเพราะผู้สมัครฝั่งประชาธิปไตย อย่างคิม ยองซัม และคิม แดจุงนั้น ลงสมัครแยกกัน ทำให้เสียงฝั่งประชาธิปไตยแตกออกเป็นสองก้อน รวมแล้วมากกว่า 55% แต่ผลการเลือกตั้ง ก็สะท้อนการยอมรับเสียงข้างมาก ทำให้โร อยู่จนครบวาระก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 1992 หลังการเปลี่ยนวาระให้ประธานาธิบดีอยู่ได้ 5 ปี
นอกจากการเลือกตั้งในครั้งแล้ว การเลือกตั้งรอบล่าสุดในปี 2022 เอง ก็สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ยอมรับในผลแพ้ชนะของระบอบประชาธิปไตย ที่ยุน ซ็อก-ย็อล จากพรรคประชาชน สามารถชนะ อี แจมยอง จากพรรคประชาธิปไตยไปได้เพียงแค่ 0.73% แต่ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ และทำงานต่อในฐานะฝ่ายค้าน
ส่วนในการเลือกตั้งในครั้งนี้ (3 มิถุนายน 2568) เป็นการเลือกตั้งหลังอดีตประธานาธิบดียุน ซ็อก-ย็อล ถูกถอดถอนจากตำแหน่งเนื่องจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สมัครหลักสองคน ได้แก่ อี แจมยอง จากพรรคประชาชน ผู้นำฝ่ายค้านที่แพ้การเลือกตั้งรอบก่อน และคิม มุนซู จากพรรคพลังประชาชน ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็สะท้อนการทำตามกติกา และใช้กลไกนี้ เป็นเสียงตัดสินของประชาชน โดยผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
