รีเซต

RATCH ลุยขยายกิจการ เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ

RATCH ลุยขยายกิจการ เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ
TNN ช่อง16
10 ตุลาคม 2568 ( 10:47 )
14
เมื่อการเติบโตในประเทศไทยอาจเริ่มมีน่านน้ำที่จำกัด จากความต้องการใช้พลังงานที่อาจชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนที่น้อยลง ธุรกิจที่มีศักยภาพ มีความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกได้ มักปรับตัวออกไปหารายได้ในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศให้สมดุลกับรายได้ในต่างประเทศ หวังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในธุรกิจที่ตัวเองเชี่ยวชาญ หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวในแนวทางนี้ พร้อมออกไปลุยขยายกิจการในต่างประเทศมาต่อเนื่อง คือ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ที่นอกจากจะขยายการลงทุนในไทยแล้วราช กรุ๊ป ยังขยายการลงทุนในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, สปป.ลาว , เวียดนาม , และฟิลิปปินส์ โดยในปี 2569 มีแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศไทย ,สปป.ลาว  และอินโดนีเซีย โดยบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ปีละ 15,000 ล้านบาท เพื่อต่อยอดการเติบโตในทุกปี ที่สำคัญหากเป็นการลงทุนในโครงการขยายใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนสูง ราช กรุ๊ปจะมีการกำหนดเพดานในการพิจารณาอนุมัติลงทุนในโครงการที่มีอัตราผลตอบแทน (IRR) ที่ดี อาทิ ระดับร้อยละ 11 เป็นต้น สำหรับเงินลงทุนในปี 2568 ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ใช้ไปแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท ทำให้เหลือวงเงินที่จะลงทุนอีกไม่น้อย นางวดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน บมจ.ราช กรุ๊ป เปิดเผยว่า  ในส่วนของแผนการขยายกิจการ ผ่านการทำดีลการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ ( M&A) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในช่วงที่เหลือของปี 2568 นี้  จากปัจจุบันที่บริษัทกำลังพิจารณาโรงไฟฟ้าอยู่ประมาณ 5 โครงการ แบ่งเป็นโครงการในประเทศไทยจำนวน 2 โครงการ และในต่างประเทศจำนวน 3 โครงการ (ไม่นับรวมโครงการที่ดำเนินการก่อสร้างใหม่) ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA เติบโตที่ร้อยละ 5 ต่อปี จากปัจจุบันที่ 15,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าทำได้เร็วกว่าแผนวางไว้ ไปสู่ระดับ 30,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2572 โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ EBITDA เติบโตได้เร็วกว่าแผนเนื่องจากบริษัทบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น โดยเงินสินเชื่อที่เคยจ่ายดอกเบี้ยระดับ  3% ปัจจุบันอยู่ที่ราว 1% ซึ่งบริษัทได้บการยอดรับจากธนาคารทั้งในและต่างประเทศในการเข้ามาเสนอสินเชื่อ ทำให้บริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ส่งผลให้ฐานะการเงินค่อนข้างมั่นคง และปัจจุบันถือว่าฐานะของ ราช กรุ๊ป เป็นบริษัทบริษัทระดับโลก หรือ Global Company ไปเรียบร้อยแล้ว สะท้อนจากขนาดสินทรัพย์ที่มากกว่า 2 แสนล้านบาท ฐานะการเงิน การมีเคตดิตสามารถใช้สินเชื่อจากธนาคารต่างประเทศกว่า 10 แห่ง และมีการเสียภาษีในระดับสากล   

สำหรับการขยายลงทุนไปในทางประเทศที่ประสบความสำเร็จไม่น้อย คือ ที่ออสเตรเลีย ด้วยการขยายธุรกิจผ่านบริษัทย่อย นั่นคือ บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ RAC ที่ ราช กรุ๊ป ถือหุ้นทั้ง 100% โดยราช กรุ๊ป เข้ามาดำเนินธุรกิจในออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2554  ภายใต้ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ชื่อในขณะนั้น ที่ได้เข้าซื้อกิจการของกองทุน Transfield Services Infrastructure Fund ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น RAC ปัจจุบัน RAC เป็นบริษัทที่สภาพคล่องเงินสดที่เพียงพอในการขยายการลงทุนเอง โดยไม่ต้องพึ่งเงินทุนจากบริษัทแม่ ปัจจุบันมีกระแสเงินสดสะสมรวมกว่า 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท) 

ในครึ่งแรกของปี 2568 RAC สามารถสร้างรายได้ให้กับราช กรุ๊ป ในสัดส่วนที่ร้อยละ 19 ของรายได้รวมทั้งหมด คิดเป็นเงิน 2,948 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต ปัจจุบัน RAC ยังมีศักยภาพที่จะ IPO ได้ ซึ่งหากจำเป็นต้องระดมทุนจำนวนมาก  น่าจะเข้า IPO ที่สิงคโปร์ แต่ปัจจุบันยังมีเงินทุนที่เพียงพอและยังสามารถหาเงินทุนได้หลากหลายช่องทาง  

ล่าสุด RAC บริหารจัดการสินทรัพย์โรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย มีกำลังการผลิตรวม 2,095 เมกะวัตต์ ยังเป็นแกนหลักในการตอบโจทย์ความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนของออสเตรเลีย ที่รัฐบาลมุ่งเพิ่มสัดส่วนเป็นร้อยละ 85  

ด้าน นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ใหม่ในช่วง 5 ปี (ปี 2568-2572) ได้กำหนดทิศทางธุรกิจที่มุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก โดยจะขยายการลงทุนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สร้างมูลค่าสูงสุด ทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าให้ใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด การปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ และนวัตกรรมพลังงานที่สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของโลก   

นอกเหนือจากประเทศไทย บริษัทฯ ตั้งใจจะขยายธุรกิจในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สปป. ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นต้น  อีกทั้งยังตั้งเป้าจะแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานนอกเหนือจากออสเตรเลีย อาทิประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น 

โดยออสเตรเลียเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานสะอาดและเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้มีสัดส่วนไปที่้ร้อยละ 85 ของพลังงานทั้งหมด ซึ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน และการให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า โดยใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 


ล่าสุด RAC ได้พัฒนาโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์ เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบส่งไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์ โครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่กำลังจะปลดระวางตามแผนงาน และคาดว่าความต้องการโครงการลักษณะนี้จะมากขึ้น ตามการใช้พลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งมีสัญญาขายไฟฟ้าในระยะ 10 ปี 

ปัจจุบัน RAC บริหารจัดการสินทรัพย์โรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย กำลังการผลิตรวม 2,095 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วย 

สามารถแข่งขันในตลาดพลังงานหมุนเวียนได้ดี แม้ราคาพลังงานในออสเตรเลียจะผันผวนจากการ โดยมีรายได้จากการปะมูลขายไฟฟ้าตามราคาตลาด และมีรายได้จากการเตรียมสำรองพลังงานปีละ 6.8 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่หากผลิตเพื่อขายจะมีรายได้ที่สูงขึ้นป็นรายชั่วโมงที่เดินเครื่องผลิต

และในขณะนี้ RAC ยังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้า รวม 9 โครงการ ในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน( BESS) ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570

 โครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และโครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งแผนงานทั้งสองโครงการได้รับความเห็นชอบแล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572 

ส่วนโครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ซึ่งการประเมินเบื้องต้นความเร็วลมเหมาะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ และมีระบบสายส่งในพื้นที่รองรับได้ สำหรับกำลังการผลิตของโครงการประมาณการ 500-800 เมกะวัตต์ คาดว่าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2573 ซึ่งมีโอกาสที่จะมาเติบรายได้ในอนาคตอีก  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง