RATCH กำไร 9 เดือนแรก 4,755 ลบ. EBITDA โต 11,128 ลบ.
#ทันหุ้น - RATCH รายงานผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2566 มีกำไร 4,755 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1,182 ล้านบาท จากงวด 6 เดือนแรก และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เป็นจำนวน 11,128 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3,331 ล้านบาท จากงวด 6 เดือนแรก โดย EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565 สาเหตุสำคัญมาจากบริษัทฯ ได้รับแรงหนุนจากโรงไฟฟ้าที่ซื้อกิจการมาจากเน็กส์ซิฟ เอ็นเนอร์ยี และผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือเอสพีพี ที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาเชื้อเพลิงที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า ในรอบ 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้า จำนวน 39,196 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 96 ของรายได้รวม และรายได้จากธุรกิจนอกภาคผลิตไฟฟ้า (Non-Power) จำนวน 1,585 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ของรายได้รวม ในงวดนี้รายได้ที่รับรู้จากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ เป็นจำนวน 4,127 ล้านบาท ได้แก่ โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง 98 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมลินคอล์น แก็ป 1&2 และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสแนปเปอร์ พอยท์ ในออสเตรเลีย กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 212 เมกะวัตต์ และ 154 เมกะวัตต์ ตามลำดับ อีกทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำค็อคซาน และซองเกียง 2 ในเวียดนาม กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 17.37 เมกะวัตต์ และ 17.10 เมกะวัตต์ ตามลำดับ ซึ่งได้เข้ามาช่วยเสริมหนุนให้ผลประกอบการบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าการลงทุนโครงการใหม่ๆ ที่อยู่ในแผนงาน รวมถึงบริหารสินทรัพย์ และต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความมั่นคงของรายได้และให้บรรลุเป้าหมาย EBITDA เติบโตถึง 12,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ผลักดันการพัฒนาและก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าที่ลงทุนแล้ว ซึ่งมีกำลังการผลิตตามการถือหุ้นรวม 2,918.23 เมกะวัตต์ ให้ก้าวหน้าและแล้วเสร็จเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนด ล่าสุดโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในเวียดนาม กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 15.16 เมกะวัตต์ ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าเวียดนามอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู ได้เริ่มเปิดให้บริการบางส่วน โครงการผลิตชีวมวลอัดแท่ง ในสปป. ลาว กำหนดจะเริ่มการผลิตในปลายปีนี้ สำหรับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลหรือ ESG ยังคงเดินตามกลยุทธ์ความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2593” นางสาวชูศรี กล่าว
สำหรับ ผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 จำแนกรายได้ตามประเภทธุรกิจ ประกอบด้วย รายได้จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล จำนวน 33,609 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82 ของรายได้รวม รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จำนวน 5,587 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14 และรายได้จากธุรกิจ Non-Power จำนวน 1,585 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ขณะที่ EBITDA ของบริษัทฯ มีจำนวน 11,128 ล้านบาท และกำไรสุทธิ จำนวน 4,755 ล้านบาท
สำหรับ ฐานะการเงินปัจจุบัน (ณ วันที่ 30 กันยายน 2566) บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 233,228 ล้านบาท หนี้สินรวม จำนวน 119,947 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 113,281 ล้านบาท สำหรับความมั่นคงและแข็งแกร่งของสถานะการเงินของบริษัทฯ สะท้อนจากอัตราส่วนสภาพคล่อง อยู่ที่ระดับ 1.21 เท่า และหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1.06 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 4.35 ตลอดจนอันดับเครดิตขององค์กรอยู่ในระดับความน่าเชื่อถือแข็งแกร่งจากสถาบันในประเทศ และต่างประเทศ โดย TRIS Ratings ที่ระดับ AA+, Moody’s Ratings ที่ระดับ Baa1 และ S&P Global Ratings ที่ระดับ BBB-