ไฟเซอร์ จ่อขอ FDA สหรัฐฯ อนุมัติฉีดวัคซีนต้านโควิดเข็ม 3 ต้าน "สายพันธุ์เดลต้า"

วันนี้ (9 ก.ค.64) ดร.มิคาเอล โดลสเตน ประธานฝ่ายวิจัย พัฒนาและการแพทย์ของบริษัท ไฟเซอร์ (Pfizer) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับบริหารสูงสุดของไฟเซอร์ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ไฟเซอร์เตรียมยื่นขออนุมัติเพื่อการใช้ฉุกเฉิน วัคซีนต้านโควิด-19 เข็มที่ 3 ของไฟเซอร์ หรือ บูสเตอร์ช็อต ต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA ในเดือนสิงหาคมนี้

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของไฟเซอร์ เกิดขึ้นหลังโควิดกลายพันธุ์ “เดลต้า” กำลังกลายเป็นโควิดสายพันธุ์หลัก ที่ระบาดมากที่สุดทั่วสหรัฐฯ ไปแล้ว และหลังจากอิสราเอล ระบุว่า ผู้ได้รับวัคซีนต้านโควิดของไฟเซอร์ไปแล้ว เกิดติดเชื้อโควิด หลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 6 เดือน

ดร.โดลสเตน ชี้แจงถึงกรณีที่พบในอิสราเอลดังกล่าวว่า ส่วนใหญ่เกิดกับคนที่ฉีดวัคซีนไปตั้งแต่เดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมกับยอมรับเองว่า แอนติบอดี้ หรือสารภูมิต้านทาน ที่เกิดจากการได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 อาจลดลงได้เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้อาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเป็นเข็มที่ 3 

ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอล เพิ่งระบุว่า พบว่าประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์ทั้งการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 และป้องกันไม่ให้อาการทรุดหนัก ลดลงเหลือ 64% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ส่วนความจำเป็นในการฉีดเข็มที่ 3 นั้น ดร.โดลสเตน เปิดเผยผลศึกษาเบื้องต้นของไฟเซอร์ พบว่า การฉีดวัคซีนต้านโควิดเข็มที่ 3 จะเพิ่มระดับแอนติบอดี้ได้สูงขึ้นอีก 5-10 เท่า จากวัคซีนเข็มที่ 2 ทำให้การฉีดเข็ม 3 จะเพิ่มการคุ้มครองจากโควิดอย่างได้ผลแน่นอนมากขึ้น

ดร.โดลสเตน ยังเปิดเผยข้อมูลของไฟเซอร์ในการศึกษาในสหรัฐฯ พบว่า ประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์ ลดลงในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 80 ปี ในการต่อต้านโควิดกลายพันธุ์ หลังได้รับวัคซีนผ่านไป 6 เดือน แต่ก็มีข้อมูลจากสหราชอาณาจักรและจากอิสราเอลด้วย ที่พบว่า แม้วัคซีนของไฟเซอร์จะมีประสิทธิภาพลดลง โดยระดับแอนติบอดี้จะลดลง หลังฉีดวัคซีนผ่านไประยะหนึ่ง แต่วัคซีนไฟเซอร์ก็ยังคงมีประสิทธิผลสูงถึงประมาณ 95% ในการป้องกันอาการรุนแรง และสามารถต้านโควิดกลายพันธุ์ “เดลต้า” ได้อย่างดีมาก

ทั้งนี้ ในสหรัฐฯ มีชาวอเมริกันเกือบ 48% ของประชากร ที่ได้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว