เจ้าของโชว์ห่วย ยิงตัวตายหนีโรคร้าย พบจม.ขอโทษครอบครัว "อยู่ต่อไม่ไหว มันทรมาน"

เมื่อเวลาประมาณ 08.30 น.วันที่ 26 มกราคม พ.ต.อ.พิภบ พัชรลภัส ผกก.สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พร้อมด้วย ร.ต.อ.สมพิษ บุญลือ รองสารวัตรสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน ตำรวจชุดสืบสวนฯ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานฯ แพทย์โรงพยาบาลกระทุ่มแบน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เข้าตรวจสอบเหตุมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต ภายในบ้านซึ่งด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายของโชว์ห่วย ภายในบ้านตรงโต๊ะทำงาน พบผู้เสียชีวิตเป็นชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทราบชื่อ นายเกษม แสงรัตน์ อายุ 66 ปี สภาพศพที่ขมับด้านขวามีรอยกระสุนปืนยิงเข้า 1 นัด คาดว่า เสียชีวิตมาแล้วไม่เกิน 1 ชั่วโมง
นอกจากนี้ บนโต๊ะทำงานยังพบจดหมายลาตาย 2 ฉบับ โดยฉบับหนึ่งเขียนว่า “ห้ามใครเข้ามาจนกว่าตำรวจจะมาถึง” ส่วนอีกฉบับเขียนถึงภรรยาและลูก โดยมีข้อความบางช่วงบางตอนว่า “ลูกกับแม่พ่อขอโทษ ถึงวันที่พ่อคงอยู่ต่อไปไม่ได้ มันทรมาน พ่อไม่มีทางเลือก เป็นภาระให้แม่ลูกอีกต่อไป สิ่งที่พ่อทำวันนี้พ่อไม่เสียใจ ขอให้ทุกคนอภัยให้พ่อด้วย เหตุผลก็เหมือนกับที่พ่อได้พูดกับลูกไปแล้ว พ่อฝากแม่ด้วย….” อีกทั้งยังพบอาวุธปืนขนาด 357 ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 1 กระบอก เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ขณะที่ภรรยาและลูกต่างก็พากันตกใจร้องไห้เสียใจเป็นลมล้มพับ จนเพื่อนบ้านต้องช่วยกันพยุงร่างไว้
นางสุวพันธ์ แสงรัตน์ ภรรยาของผู้เสียชีวิต เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองบอกกับสามีว่า จะออกไปซื้อข้าวไว้ให้ลูก แม่อุ่นกับข้าวไว้แล้ว พ่อจะเอาอะไรมั้ย สามีก็บอกว่า พ่อกินโจ๊ก ซึ่งตนเองก็ออกไปซื้อโจ๊กให้สามี แต่พอขับรถกลับมาถึงหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จึงได้รีบวิ่งเข้าไปดู แล้วก็เห็นสามีใช้ปืนยิงขมับเสียชีวิตอยู่บนเก้าอี้ จึงร้องเรียกให้คนมาช่วย ซึ่งตนเชื่อว่า สามีคงรอให้ตนกลับมาก่อนแล้วก็ตัดสินใจยิงตัวตาย
ขณะที่จากการสอบถามลูกสาวของผู้เสียชีวิต ก็ทราบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าของร้านขายของโชว์ห่วยแห่งนี้ โดยมีโรคประจำตัวคือ โรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย ซึ่งวันนี้เป็นวันที่จะต้องเดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า พ่อจะมาคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะต้องการหนีโรคร้ายที่เป็นอยู่
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทำการชันสูตรหาหลักฐานประกอบสาเหตุที่ยิงตัวตายอีกครั้ง ก่อนที่จะให้ญาติรับศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
บทความน่าสนใจอื่นๆ
