รีเซต

ทำความเข้าใจคำว่า “ยึดคืน” บนพื้นที่พิพาทไทย–กัมพูชา

ทำความเข้าใจคำว่า “ยึดคืน” บนพื้นที่พิพาทไทย–กัมพูชา
TNN ช่อง16
29 กรกฎาคม 2568 ( 13:18 )
16

ธงชาติที่โบกไสวเหนือแนวชายแดน

ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ความเคลื่อนไหวทางทหารบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชากลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง ภายหลังเหตุปะทะต่อเนื่องหลายวัน กองทัพไทยสามารถผลักดันกองกำลังกัมพูชาออกจากบางจุด และเข้าควบคุมพื้นที่ชายแดนที่เคยเป็นเขตพิพาท

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ภาพธงชาติไทย ที่ปักอยู่บนเนินเขาและปราสาทโบราณก็เริ่มปรากฏบนหน้าสื่อ กระทรวงกลาโหมและกองทัพบกยืนยันการควบคุมพื้นที่ใน 5 จุดหลัก โดยการปักธงชาติไทยในแต่ละแห่งเป็นสัญลักษณ์ของการยืนยันอธิปไตยและการควบคุมโดยสมบูรณ์ของไทยในช่วงเวลานั้น

5 จุดยุทธศาสตร์ที่ไทยควบคุมและปักธงชาติแล้ว

1. ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ

ภูเขาสูงใกล้แนวเขาพระวิหาร ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ควบคุมทัศนวิสัยและการเคลื่อนไหวในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร กองทัพไทยเข้าควบคุมยอดภูและปักธงชาติไทยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ภายหลังการผลักดันกองกำลังกัมพูชา

2. ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี

จุดผ่านแนวเทือกเขาพนมดงรักที่เคยมีตลาดและสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารไทย โดยมีการปักธงชาติไทยเพื่อยืนยันอำนาจเหนือพื้นที่ดังกล่าว

3. ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์

แม้จะเป็นโบราณสถานที่มีสถานะพิพาททางประวัติศาสตร์ แต่ครั้งนี้ทหารไทยสามารถเข้าควบคุมพื้นที่โดยรอบ และยกธงชาติขึ้นเหนือแนวปราการหินโบราณเพื่อยืนยันการควบคุม

4. ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์

หนึ่งในพื้นที่ที่มีการปะทะรุนแรงที่สุด กองกำลังไทยเข้าเปิดยุทธการคืนวันที่ 28 กรกฎาคม และยึดคืนพื้นที่สำเร็จ การปักธงชาติไทยในบริเวณนี้เกิดขึ้นหลังสิ้นเสียงปืนเพียงไม่กี่ชั่วโมง

5. ช่องบก หรือสามเหลี่ยมมรกต จังหวัดอุบลราชธานี

พื้นที่ยุทธศาสตร์ใกล้จุดบรรจบของเขตแดนไทย–กัมพูชา–ลาว ไทยสามารถควบคุมพื้นที่บริเวณนี้ได้อีกครั้ง พร้อมตั้งจุดสังเกตการณ์และปักธงเป็นสัญลักษณ์ชัดเจน


ทำไมคำว่า "ยึดคืน" จึงถูกใช้ในบริบทชายแดน

ในถ้อยแถลงของกองทัพ คำว่า “ยึดคืน” ถูกนำมาใช้สื่อความหมายถึงการนำพื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของไทยกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาใช้ประโยชน์หรือตั้งสิ่งปลูกสร้าง

ในกรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐมีสิทธิในการป้องกันตนเองหากถูกรุกล้ำอธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อการครอบครองพื้นที่เกิดขึ้นโดยไม่มีข้อตกลง หรือขัดกับการปักปันเขตแดนเดิม การยึดคืนจึงไม่ใช่การรุกรานใหม่ แต่เป็นการฟื้นสถานะเดิมตามที่ไทยเคยถือสิทธิ

พื้นที่อย่างช่องอานม้าและช่องบก เคยมีตลาดของฝ่ายกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนที่ไทยอ้างสิทธิ์ ในขณะที่ภูมะเขือและปราสาทตาควายเป็นจุดที่ทั้งสองฝ่ายเคยผลัดกันควบคุมในอดีต



ความคลุมเครือของเขตแดนยังคงอยู่

แม้จะมีการควบคุมพื้นที่ได้ชัดเจนใน 5 จุด แต่สถานการณ์ชายแดนยังไม่อาจนิยามว่าคงที่ การปะทะยังเกิดขึ้นประปรายในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ซำแต ช่องตาเฒ่า และแนวภูจอง–นายอย ซึ่งยังไม่มีข้อยุติทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ

พื้นที่เหล่านี้จำนวนมากอยู่ในสถานะ “เขตพิพาท” ที่ยังไม่มีการปักปันตามสนธิสัญญา หรือยังมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแผนที่และแนวแบ่งเขต การที่ไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้ในเชิงทหาร จึงไม่ใช่บทสรุปของข้อพิพาทในระยะยาว

ธงชาติไทยกับความหมายทางการเมือง

ในสถานการณ์เช่นนี้ ธงชาติไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของรัฐ แต่เป็นการประกาศสิทธิ์ในเชิงพื้นที่ และเป็นถ้อยคำในเชิงการทูตอย่างเงียบ การปักธงของไทยในพื้นที่ชายแดนทั้งห้าแห่ง มีความหมายไปไกลกว่าการควบคุมดินแดน เพราะยังส่งสัญญาณไปยังประชาคมระหว่างประเทศว่า ไทยยืนยันการควบคุมพื้นที่เหล่านี้ในบริบทอธิปไตยและการป้องกันตนเอง

พรมแดนที่ยังไม่จบ ไทยควบคุมพื้นที่ 5 จุด แต่ข้อพิพาทยังเปิดอยู่

ไทยสามารถควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ 5 จุดชายแดนกับกัมพูชาได้อีกครั้งภายหลังการปะทะในปลายเดือนกรกฎาคม 2568 พร้อมการปักธงชาติไทยเป็นเครื่องหมายของอำนาจควบคุมและการประกาศอธิปไตย

แม้สถานการณ์จะดูเหมือนมั่นคงในปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริง เขตแดนเหล่านี้ยังต้องการกระบวนการทางการเมือง การทูต และกฎหมาย เพื่อจัดการข้อพิพาทอย่างยั่งยืนต่อไป


อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง