วิกฤต "ลุ่มเจ้าพระยา" ไขสาเหตุเขื่อนเจ้าพระยาเร่งระบายน้ำ บริหารผิดพลาด หรือเหตุสุดวิสัย?

“ปล่อยน้ำจาก 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ของเขื่อนเเจ้าพระยาหากมองผ่านตัวเลขอาจดูไม่มาก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่กลับมหาศาล เพราะปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นเพียง 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เทียบเท่ากับน้ำหลายล้านลูกบาศก์เมตรที่ต้องไหลผ่านลำน้ำสายหลักทุกวัน
นั่นทำให้พื้นที่ท้ายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ กำลังเข้าสู่จุดวิกฤต โดยเฉพาะพื้นที่รับน้ำ และพื้นที่ลุ่มต่ำ หลายจุดกำลังถูกแปรสภาพเป็นเมืองบาดาล
TNN ONLINE พูดคุยกับ ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบ และมองถึงสาเหตุของวิกฤตที่นักวิชาการยอมรับว่าคือการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด
โดยปกติแล้ว เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่ผ่านพ้นฤดูน้ำหลากไปแล้วจะเป็นช่วงน้ำท่วมเริ่มลดระดับชาวชุมชนริมน้ำจะเริ่มเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้านเรือนหลังน้ำลดเพื่อรอเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ทว่าปีนี้แม้เข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว แต่ทำไมกลับเห็นการระบายน้ำจำนวนมหาศาลจากพื้นที่ทางตอนเหนือ เข้าสู่ลุ่มน้ำภาคกลาง
ผศ.ดร.สิตางศุ์ อธิบายความปิดปกติที่เกิดขึ้นว่าปริมาณน้ำที่มากผิดปกติในช่วงต้นฤดูหนาวมีเหตุสำคัญสามส่วน หนึ่งคือการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ภาวะลานีญา ซึ่งโดยธรรมชาติจะทำให้ภูมิภาคนี้มีฝนมากขึ้นกว่าปกติ
สองคือการมาของพายุคัลแมกีที่นำฝนจำนวนมากเข้ามาตกเหนือเขื่อนและลุ่มน้ำเจ้าพระยาในช่วงที่การระบายน้ำถูกชะลอไว้เพื่อเก็บกักสำหรับฤดูแล้ง และสามคือปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนที่ทำให้การระบายน้ำสู่ทะเลช้าลง เกิดแรงต้านของน้ำทะเลไหลย้อนกลับ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักไม่ลดลงตามที่คาด ทุกปัจจัยซ้อนทับกันจนกลายเป็นความจำเป็นที่ต้องเร่งปล่อยน้ำเพิ่ม แม้จะเสี่ยงต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนที่ต้องรับภาระทันที
“ถ้าถามว่าทำไมในช่วงต้นฤดูหนาว ถึงยังเห็นข่าวน้ำท่วมแทบทุกวัน คำตอบอยู่ที่การผันผวนของสภาพอากาศ ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่ช่วงลานีญาปลายปีพอดี แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วว่ามีน้ำเยอะ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือการมาของพายุคัลแมกี ที่มาซ้ำเติมในช่วงที่ระบบกำลังชะลอการระบายน้ำเพื่อกักเก็บไว้ใช้ยามแล้ง น้ำจึงถูกเก็บไว้เต็มระดับในพื้นที่ทุ่งรับน้ำ
เมื่อฝนเติมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว จึงต้องมีปรับการแก้ปัญหาไปตามสถานการณ์ โดยเพิ่มการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงพื้นที่รับน้ำเดิมทำให้สถาการณ์น้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อยเข้าสู่วิกฤตในหลายจุด” ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าว
พื้นที่ไหน “เปราะบาง” และพื้นที่ไหน “วิกฤต”
เมื่อถามถึงความเสี่ยง ดร.สิตางศุ์ย้ำว่าไม่ใช่ทุกพื้นที่จะอยู่ในระดับเดียวกัน ภาพใหญ่คือภาคกลางตอนบน บริเวณอ่างทอง สิงห์บุรี และพระนครศรีอยุธยาอยู่ในภาวะวิกฤตมาก เพราะเป็นพื้นที่ทุ่งรับน้ำ และมีพื้นที่ลุ่มต่ำทางธรรมชาติ น้ำเพียงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ล้นตลิ่งได้ง่าย ถนนสายรองเริ่มมีน้ำรอระบาย บางจุดถึงขั้นน้ำเอ่อเข้าพื้นที่เกษตรและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ แม้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะย้ำว่ายังพอเอาอยู่ แต่ก็มีความเสี่ยงเชิงจังหวะ คืออาจได้รับผลกระทบแบบสั้น ๆ ช่วง 1–2 วันแรกหลังเพิ่มการระบายน้ำ เพราะน้ำจากเหนือจะไหลมาชนกับน้ำทะเลหนุนในช่วงกลางวัน หากประตูระบายน้ำหรือคันป้องกันบางจุดรับไม่ทัน ก็อาจเกิดน้ำล้นเป็นจุด ๆ ได้ แต่ไม่ใช่ระดับที่ลุกลามเป็นวงกว้างแบบปี 2554
ปัญหาใหญ่กลับไม่ใช่ปริมาณน้ำ แต่คือการจัดการ
ในเชิงเทคนิค ปล่อยอย่างไรก็ต้องปล่อย เพราะน้ำเข้าเขื่อนมากกว่าที่ระบายออกได้ แต่ในเชิงการบริหารจัดการ สิ่งที่วิกฤตกว่าปริมาณน้ำคือ “ระยะเวลาแจ้งเตือน” การประกาศเพิ่มการระบายน้ำคราวนี้เกิดขึ้นตอนเที่ยง และเริ่มจริงตอน 6 โมงเย็น ทำให้พื้นที่ท้ายเขื่อนได้นับเวลาตั้งรับเพียง 6 ชั่วโมง
ซึ่งระยะเวลา 6 ชั่วโมงถือว่าน้อยเกินไป เพราะปกติการเตือนเพิ่มการระบายน้ำควรมีอย่างน้อย 2–3 วัน เพื่อให้ชุมชนมีเวลาย้ายของ เสริมกระสอบทราย ประสานงานเครื่องสูบน้ำ และเตรียมรับสถานการณ์ หากเป็นภาวะวิกฤตจริง ๆ อย่างน้ำไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก็ยังควรมี 24 ชั่วโมง แต่อะไรก็ตามที่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง คือ แทบจะเตรียมตั้งรับไม่ทัน
ทางออกของวิกฤตน้ำปีนี้
ข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ คือ การเร่งผันน้ำไปฝั่งตะวันออกให้ได้มากที่สุดภายในช่วงประมาณวันที่ 20 พฤศจิกายน เพราะเป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลลดลง ทำให้การระบายลงอ่าวไทยทำได้ดีขึ้น การใช้คลองสายหลักฝั่งตะวันออก เช่น คลองพระยาบรรลือและคลองลาดหลุมแก้ว จะช่วยลดแรงดันในแม่น้ำเจ้าพระยาและบรรเทาภาระของพื้นที่ลุ่มต่ำตอนบน
แต่การผันน้ำไม่ใช่แค่เปิดประตูน้ำแล้วจบ ต้องใช้เครื่องสูบน้ำร่วม ต้องจัดการจุดคอขวด ต้องประสานงานระหว่างหลายหน่วยงาน และต้องคำนึงถึงพื้นที่ปลายน้ำใหม่ที่อาจได้รับผลกระทบด้วย ระบบทั้งหมดเชื่อมถึงกันเหมือนโดมิโน หากหนึ่งจุดพลาด จุดอื่นก็จะรับแรงกระแทกแทน
บทเรียนจากน้ำท่วม 2568
ผศ.ดร.สิตางศุ์ ยอมรับว่าการมาของพายุ “คัลแมกี” ไม่อาจเป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดวิกฤต แต่ต้องยอมรับถึงจุดอ่อนในการบริหารจัดการน้ำของไทยยังต้องปรับตัวอย่างหนักต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน การเพิ่มการระบายน้ำอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในเชิงเทคนิค เพื่อป้องกันเขื่อนและแม่น้ำจากการรับน้ำเกินกำลัง แต่การคาดการณ์เรื่องสภาพอากาศ และการแจ้งเตือนที่แม่นยำ และเหมาะสม ยังเป็นกุญแจสำคัญให้การรับมือกับภัยธรรมชาติ และน้ำหลากทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ต้องยอมรับว่าการบริหารจัดการน้ำในปีนี้ยังไม่ดีพอ ต้องยอมรับว่ามีจุดอ่อน และความผิดพลาดระหว่างทาง ปีหน้าต้องมีการปรับปรุงมากขึ้น เราต้องลงไปรับฟังความเห็นจากพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในพื้นที่รับน้ำ และต้องดำเนินการในทุกภาคส่วนอย่างเข้มข้นมากขึ้น” ผศ.ดร.สิตางศุ์ ทิ้งท้าย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
