TISCO กำไร Q2/67 ที่ 1,748.99 ลบ.ลดลง 5.7% จากตั้งสำรองเพิ่มขึ้น

#TISCO #ทันหุ้น-บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า กำไรไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1,748.99 ล้านบาท ลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 1,853.89 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 5.5% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ และการรับรู้ผลกeไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวดีขึ้น 17.1%
ในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัว 0.9% ตามการเติบโตของสินเชื่อ แม้ว่าต้นทุนทางการเงินยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจจัดการกองทุนฟื้นตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงอ่อนแอ เป็นไปตามมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ซบเซา ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.71% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย จากการตั้งส ารองเพื่อสะท้อนความเสี่ยงของลูกหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องมาจากการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูง และปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง
อย่างไรก็ตามหากเทียบกับไตรมาส 1/67 ก าไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15.97 ล้านบาท หรือ 0.9% เป็นผลมาจากการรับรู้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ และผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 18.6%
นอกจากนี้ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และธุรกิจจัดการกองทุนปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์ยังไม่ฟื้นตัว รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลง 0.2% จากต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น สืบเนื่องมาจากการปรับดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ช่วงปีก่อนหน้า ส่วนสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเพื่อรองรับความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ในไตรมาส 2/67 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 3,387.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.46 ล้านบาท (ร้อยละ 0.9) จากไตรมาส 2/66โดยรายได้ดอกเบี้ยมีจำนวน 4,744.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 410.66 ล้านบาท (ร้อยละ 9.5) ตามการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยมีจำนวน 1,357.03ล้านบาท เพิ่มขึ้น 379.20 ล้านบาท (ร้อยละ 38.8) จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นตามการปรับเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเงินฝาก
ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 1,549.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจจากการเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ประกอบกับการรับรู้ผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านงบก าไรขาดทุน (FVTPL)
ด้านนายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 แม้จะมีแรงหนุนในภาคบริการจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ภาคการส่งออกที่เห็นสัญญาณฟื้นตัว และแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้นหลังพ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ แต่ภาพโดยรวมยังคงเปราะบางและมีปัจจัยกดดันในหลายด้าน โดยเฉพาะภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวในระดับต่ำ จากปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชะลอตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศหดตัวลงอย่างรุนแรงจากกำลังซื้อที่ถดถอย รวมถึงคุณภาพหนี้สินที่มีแนวโน้มด้อยลง
ท่ามกลางความท้าทาย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะงวดไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิ 1,749 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากไตรมาส 2 ของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ยังได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อจำนำทะเบียนผ่านการขยายสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักชะลอตัวลงตามภาวะตลาดทุนที่ผันผวน และธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ซบเซา
ในระยะข้างหน้า กลุ่มทิสโก้ ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ “Sustainable Focus” การขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพบนพื้นฐานการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม พร้อมเพิ่มความระมัดระวังรอบคอบในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันจะเดินหน้าเติมเต็มโอกาสทางการเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงให้แก่ลูกค้า ควบคู่กับการติดตามดูแลลูกค้าในกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด
“ในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลุ่มทิสโก้ จะเน้นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยวางกลยุทธ์ ESG in Action ให้สอดรับกับกระบวนการทำงานและการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในมุมการยกระดับความเป็นอยู่และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่สังคม ซึ่งที่ผ่านมาเราดำเนินการอย่างเข้มข้นเพื่อให้คนไทย “ปลดหนี้และมีเงินออม” อาทิ การจัดกิจกรรม Smart HR Fin Coach ติวเข้มความรู้การเงินให้หน่วยงานทรัพยากรบุคคล (HR) ของบริษัทนายจ้าง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพทิสโก้ เพื่อการส่งต่อแนวทางการวางแผนทางการเงินสู่วงกว้าง นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องมือเสริมทักษะทางการเงินในหลายรูปแบบ โดยเน้นให้เข้าใจง่าย สนุก และใช้งานได้จริง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินทองได้อย่างเหมาะสม ทั้งด้านการลงทุน การออม และหนี้สิน เพิ่มเติมจากกิจกรรมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมฉลาดเก็บ ฉลาดใช้ กิจกรรมรู้ไว้เข้าใจหนี้ ค่ายสมหวัง สร้างโอกาส รวมถึงการให้คำปรึกษาเรื่องการรวมหนี้เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีภาระดอกเบี้ยที่ลดลง พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางในเชิงรุกผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นต้น”
สรุปผลประกอบการสำหรับงวดไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2567
ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,749 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากไตรมาส 2 ปี 2566 สาเหตุหลักมาจากสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) ที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของรายได้รวมจากการดำเนินงานเติบโต 5.5% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรับรู้กำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจจากการเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 0.9% ตามสินเชื่อที่เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนหน้า ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาด ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนฟื้นตัวเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงซบเซา เป็นไปตามมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่หดตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวลดลงจากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาด
สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 2567 กำไรสุทธิมีจำนวน 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากครึ่งปีแรกของปี 2566 เนื่องมาจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) ที่เพิ่มขึ้น ด้านรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 3.8% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ขยายตัว 3.1% ตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ประกอบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวดีขึ้น 5.5%จากกำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ ในขณะที่ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์อ่อนตัวลง จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ชะลอตัว อีกทั้ง ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ปรับลดลงตามมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ซบเซา ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 16.6%
เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีจำนวน 233,448 ล้านบาท ลดลง 0.6% จากสิ้นปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่หดตัวลง ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อ SME และสินเชื่อจำนำทะเบียนยังคงขยายตัว แต่เติบโตในอัตราที่ช้าลง โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มความระมัดระวังและรอบคอบในการปล่อยสินเชื่อใหม่ท่ามกลางสภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ณ สิ้นไตรมาสนี้ อยู่ที่ 2.4% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการขยายสินเชื่อไปในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูง และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า โดยบริษัทมุ่งเน้นการติดตามทวงถามหนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงดำเนินนโยบายการบริหารความเสี่ยงและตั้งสำรองอย่างรัดกุม และมีระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 162.7%
ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.6% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.6% และ 2.0% ตามลำดับ