รีเซต

‘บ้านปูฯ’ เร่งเครื่องพอร์ตพลังงานหมุนเวียน เดินหน้าลงทุนกิจการโซลาร์ฟาร์มเพิ่มอีก 2 แห่งในเวียดนาม

‘บ้านปูฯ’ เร่งเครื่องพอร์ตพลังงานหมุนเวียน เดินหน้าลงทุนกิจการโซลาร์ฟาร์มเพิ่มอีก 2 แห่งในเวียดนาม
มติชน
26 มกราคม 2565 ( 06:22 )
50
‘บ้านปูฯ’ เร่งเครื่องพอร์ตพลังงานหมุนเวียน เดินหน้าลงทุนกิจการโซลาร์ฟาร์มเพิ่มอีก 2 แห่งในเวียดนาม

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพเพื่อโลกที่ยั่งยืน ด้วยสมดุลของพอร์ตธุรกิจจากทั้งพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป (Thermal Power Business) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Business) ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เดินหน้าขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย (SPA) ผ่านบริษัท BRE Singapore Pte. Ltd. (BRES) เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่งใหม่ในประเทศเวียดนาม ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชูง็อก (Chu Ngoc) กำลังผลิต 15 เมกะวัตต์ ในจังหวัดเกียลาย (Gia Lai) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์น็อนไห่ (Nhon Hai) กำลังผลิต 35 เมกะวัตต์ ในจังหวัดนินห์ถ่วน มูลค่าการลงทุนรวม 26.69 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 883 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการลงทุนจาก BPP และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนที่เท่ากันคือร้อยละ 50 ซึ่งคิดเป็นเงินลงทุนส่วนของ BPP 13.35 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 442 ล้านบาท ส่งผลให้ BPP มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 25 เมกะวัตต์ เป็นการขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนผ่านการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามเป็นครั้งที่สองต่อจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ฮาติ๋ญที่ลงนามสัญญาซื้อขายไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2564

 

นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ตามกลยุทธ์ Greener & Smarter โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่าน บริษัทฯ ได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ฮาติ๋ญ กำลังผลิต 50 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกที่ลงทุนในเวียดนาม โดยเวียดนามนับเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ที่มุ่งขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงและมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจนจากภาครัฐอีกด้วย ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่งนี้ มีจุดเด่นหลายประการ อาทิ ตั้งอยู่ในพื้นที่ความเข้มของแสงอาทิตย์ในระดับดีเยี่ยมและยาวนาน มีราคารับซื้อไฟฟ้า (FiT) ที่ 9.35 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นอัตราที่ดี รวมทั้งมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบสายส่งให้แก่การไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity: EVN) ตามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เป็นระยะเวลา 20 ปี ส่งผลถึงกระแสเงินสดที่บริษัทจะได้รับอย่างมั่นคงในระยะยาว ซึ่งทั้ง 2 แห่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการผลิตอยู่แล้ว จึงสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันที

 

นายกิรณ กล่าวว่า โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง มีกำลังการผลิตรวมกัน 50 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนของ BPP 25 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชูง็อก ตั้งอยู่ในจังหวัดเกียลาย บริเวณพื้นที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนาม มีกำลังผลิต 15 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์น็อนไห่ ตั้งอยู่ในจังหวัดนินห์ถ่วน อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคกลางตอนใต้ของเวียดนาม มีกำลังผลิต 35 เมกะวัตต์ การลงทุนดังกล่าวอยู่ในระหว่างการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในสัญญา และการรอได้รับอนุมัติจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 2/2565 นอกจากนี้ ตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เคเซนนุมะ (Kesennuma) ขนาดกำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นิฮอนมัสซึ (Nihonmatsu) ขนาดกำลังผลิต 12 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิราคาวะ (Shirakawa) ขนาดกำลังผลิต 10 เมกะวัตต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบัน BPP มีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนรวม 3,389 เมกะวัตต์เทียบเท่า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา (Vinh Chau) ระยะที่ 1 ในเวียดนาม กำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะ COD ในไตรมาส 1/2565 อีกด้วย

 

นายกิรณ กล่าวว่า การลงทุนต่อเนื่องในเวียดนามครั้งนี้ เป็นตอกย้ำการเติบโตตามแผนกลยุทธ์ที่มุ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเพื่อสร้างรายได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนความมุ่งมั่นในการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ในสัดส่วนที่สมดุลระหว่างพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไปและพลังงานหมุนเวียน เพื่อบรรลุเป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์ โดยมาจากพลังงานหมุนเวียน 800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 และสอดคล้องตามหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม, สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี) เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกประเทศที่เราดำเนินธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง