เปิด 5 ปัจจัยกำหนดทิศทางราคา ทองคำ ปีเสือ คาดอาจไปสุดได้ 29,000 บาท-คริปโตฯเป็นตัวแปรใหม่
ก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของปี 2565 หรือปีเสือทองกันแล้ว หากใครที่ติดตามราคา ทองคำ ก็จะเห็นได้ว่าราคาทองคำยังคงผันผวน แต่ยังทรงๆในระดับสูง ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็เป็นประจำทุกปีที่ราคาทองจะมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก แต่หากจะมองทั้งปียังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ YLG ได้มองภาพรวมตลอดทั้งปี 2565 ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ราคา ทองคำ จะยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา โดยราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบบวกลบ 3,000 บาทจากปี 2564 หรือคาดว่าปรับขึ้นไปสูงสุดประมาณ 29,800 บาท โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาทองคำปี 2565 มี 5 ปัจจัย ได้แก่
1. นโยบายของของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ไม่ว่าจะปีไหนๆ หรือแม้แต่ในปี 2565 ยังต้องจับตาการดำเนินนโยบายของเฟด โดยในปีนี้มาตรการที่ต้องจับตาคือ การเร่งลดการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่เฟดได้ส่งสัญญาณในการลดวงเงินการทำ QE เพื่อเปิดทางในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง การปรับลดการทำ QE ของเฟดนั้นเม็ดเงินจะไม่ได้หายไปในทัน แต่จะค่อยๆ ลดลงทำให้ยังไม่กระทบทองคำในช่วงครึ่งปีแรก แต่อาจจะกระทบราคาทองคำในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงยังถือเป็นประเด็นที่สนับสนุนทองคำและน่าจับตามองเพราะอยู่ในอัตราที่สูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี
2. การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางและกองทุน SPDR ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ธนาคารประเทศต่างๆ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าซื้อ ทองคำ แท่งเพื่อใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกองทุนทอง SPDR ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ได้กลับมาซื้อทองคำ หลังจากที่ทำการขายมาตลอดทั้งปี แต่เริ่มกลับเข้าซื้อเมื่อเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดทองคำเลยก็ว่าได้
3. ความต้องการทองคำกายภาพเริ่มกลับมา จีนและอินเดีย เป็นประเทศที่นำเข้าทองคำรายใหญ่ของโลก ซึ่งเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวดังนั้นจึงส่งผลต่อความต้องการทองคำของทั้ง 2 ประเทศ เนื่องจากจีนและอินเดียมีความนิยมทองคำที่ส่งต่อกันมารวมถึงเป็นสิ่งจำเป็นในพิธีสำคัญต่างๆ อาทิ เทศกาลตรุษจีน งานแต่งงาน
4. ทองคำยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ ยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีไว้ในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งพอร์ตการลงทุนที่ดียังต้องมีการลงทุนในทองคำ 5-15% ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เป็นคำแนะนำของโบรกส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้
5. เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยหนุนให้คนซื้อทองคำได้ในเงินลงทุนน้อยลง ปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ซื้อหรือนักลงทุนสามารถซื้อทองคำผ่านรูปแบบออนไลน์ และสามารถซื้อทองคำเริ่มต้นด้วยเงินเพียงหลักสิบหลักร้อย ในรูปแบบของการออมทอง หรือการผ่อนทอง แต่สุดท้ายเมื่อครบมูลค่าที่ซื้อก็จะได้ทองคำมาไว้ครอบครอง
ภาพประกอบ : AFP
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในรูปแบบนี้ถือว่าไม่มีความแตกต่างจากการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ เพราะสามารถซื้อขายแบบเรียลไทม์ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกัน ทำให้ลดช่องว่างของผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนมีเงินทุนจำนวนมากเท่านั้น เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มทุกอาชีพเข้าถึงการลงทุนมากขึ้น
กระแสการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ก็กระทบกับการลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบอื่นๆไม่เว้นแม้แต่ ทองคำ โดยนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)กล่าวว่า เทรนด์การลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี่ช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในรูปแบบปรับฐาน ส่งผลให้มีเงินลงทุนบางส่วนไหลเข้าตลาดทองคำ ซึ่งเหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้น โดยปัจจัยการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดจะเป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกดดันทองคำ
ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ มองว่า ราคาทองคำในตลาดโลกปี 2565 จะทรงตัวในระดับ 1,800 ถึง 1,825 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยประเด็นที่ต้องจับตาคือช่วงไตรมาสที่สองของปีที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง
ส่วนราคาทองคำในประเทศปีนี้เชื่อว่าช่วงต้นปีจะทรงตัวอยู่ที่ระดับบาทละ 28,150 ถึง 29,000 บาท และหากถึงช่วงที่ทางธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคา ทองคำ ในประเทศจะลดลงต่ำกว่าบาทละ 28,000 บาท โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยังคงมีการกลายพันธุ์ เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยซบเซาแต่ไม่มีผลกระทบต่อตลาดราคาทองคำมากนัก
ภาพประกอบ : เอสจี แคปปิตอล
อ้างอิง : วายแอลจี บูลเลี่ยน ,นายกสมาคมค้าทองคำ
ภาพประกอบ : AFP ,