รีเซต

MSFT โบรกลดคำแนะนำ “ถือ” TSLA ส่งมอบรถโต 8% ดีกว่าคาด

MSFT โบรกลดคำแนะนำ “ถือ” TSLA ส่งมอบรถโต 8% ดีกว่าคาด
ทันหุ้น
24 กันยายน 2567 ( 13:49 )
9
MSFT โบรกลดคำแนะนำ “ถือ” TSLA ส่งมอบรถโต 8% ดีกว่าคาด

 

#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น –บทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศรายวัน โดย บล.เอเซีย พลัส

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปปิดบวกเมื่อวานนี้ (S&P500 +0.28%, Stoxx600 +0.40%) หลังตลาดมีความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางเพิ่มเติม เนื่องจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ PMI ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ประกอบ กับ ประธาน Fed ในสาขา Atlanta, Chicago และ Minneapolis ต่างแสดงความเห็นที่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมอีกในปีนี้

 

ซึ่งตลาดจะจับตารอดูถ้อยแถลงของนาย Powell ประธาน Fed ที่จะมีการจัดการประชุมว่าด้วยตลาดพันธบัตรโดย Fed นิวยอร์คในวันพฤหัสบดีนี้ (26ก.ย.) และรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ในวันศุกร์ (27 ก.ย.) เพื่อประเมินการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งถัดไปว่าอยู่ในอัตรา 50bps หรือไม่ (ล่าสุดตลาดให้ น้ำหนักเช้านี้ 51.5%)

 

ตัวเลข PMI ภาคการผลิต (44.8 vs. คาด 45.7และเดือนก่อน 45.8) และภาคบริการ (50.5 vs. คาด 52.3 และเดือนก่อน 52.9) ของยุโรปออกมาอ่อนแอ ขณะที่ PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ต่ำกว่าตลาดคาดเช่นกันที่ 47.0 (vs. คาด 48.6 และเดือนก่อน 47.9) ขณะที่ภาคบริการออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย (55.4 vs. คาด 55.2 และเดือนก่อน 55.7)

 

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนเช้านี้ ได้แรงหนุนด้าน Sentiment เพิ่มเติม (ดัชนี CSI300 และ HSI ปรับเพิ่มขึ้น กว่า 1%) หลังธนาคารกลางจีน (PBoC) ประกาศปรับลด Reserve Requirement สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ลง 50bps สู่ระดับ 9.50% ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบราว 1ล้านล้านหยวน

 

พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo Rate ระยะ 7 วันลง 20bps สู่ระดับ 1.50%ซึ่งเป็นความพยายามในการพยุงเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย GDP ที่ราว 5%หลังก่อนหน้านี้ได้เห็นภาคเอกชนทยอยหั่นคาดการณ์ GDP

ทั้งนี้ PBoC เพิ่งได้มีประกาศประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo Rate ระยะ 14 วันลง 10bps พร้อมทั้งอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมก่อนวันหยุดยาวช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่กำลังจะมาถึง

 

ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญวันนี้: สหรัฐฯ (ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย S&P/Case-Shiller, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค CB Consumer Confidence และดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจเขต Richmond และ Philadelphia), ยุโรป, ญี่ปุ่น

ตลาดจีน ดัชนี HSI ปรับตัวลง 0.06% ขณะที่ PBOC ปรับลด Reverse repo rate ระยะ 14 วัน ลง 10bps จาก 1.95%มาอยู่ที่ 1.85% และยังมีการเพิ่มสภาพคล่อง 2.35 แสนล้านหยวนผ่านการทำ Open market operations

 

- ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่ม Macau Gaming ปรับตัวลง นำโดย Sands China -2.47%, Galaxy Entertainment -1.00% หลังนักวิเคราะห์จาก Citi รายงานว่ารายได้จากGross Gaming Revenue (GGR) ของมาเก๊าในช่วง 22 วันแรกของเดือนกันยายนอยู่ที่ MOP12.15 พันล้าน หรือคิดเป็น MOP521 ล้านต่อวัน ซึ่งลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากปริมาณในกลุ่ม VIP ที่ลดลงประมาณ 11-13% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และกลุ่ม Mass ที่หดตัวลง 11-14% MoM นอกจากนี้ โดยนักพนันบางส่วนเลื่อนการเดินทางไปช่วงวันหยุดสัปดาห์ (Golden Week) ซึ่งอาจส่งผลให้รายได้ GGR ในเดือนกันยายนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย Citi ยังได้ปรับลดคาดการณ์ GRR ของมาเก๊าในเดือนกันยายนลงจาก MOP17.75 พันล้าน เป็น MOP17 พันล้าน โดยระบุว่ารายได้จะเติบโตเพียง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

- ในส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี Xiaomi ปรับตัวขึ้นมากที่สุด +3.37% หลังผู้บริหารประกาศผ่าน Weibo ว่า บริษัทเตรียมเปิดตัว Note 14 ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายนนี้ ขณะที่หุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้นนำโดย Midea +5.31%, Haier +1.94% หลังนักวิเคราะห์จาก Cit มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อ Midea โดยให้คำแนะนำที่ Buy ด้วยราคาเป้าหมายที่ HKD 90.08เนื่องจาก Citi คาดการณ์ว่าบริษัทจะเร่งการดำเนินนโยบาย Trade-in เพื่อส่งเสริมยอดขายของบริษัท ซึ่งทางนักวิเคราะห์เชื่อว่าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 มากไปกว่านั้น ยังคาดว่ายอดขายของ MIDEA จะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีหลังจากนโยบายดังกล่าว ทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดที่มีศักยภาพสูงในการเติบโต

STOCK HIGHLIGHT

Meta (META US) ปรับตัวขึ้น 0.65% หลังนักวิเคราะห์จาก Citi ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นจาก $580 มาอยู่ที่ $645เนื่องจากมองว่าการลงทุนด้าน AI ของ Meta สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

 

- โดยผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดจากการลงทุนในครั้งนี้คือการเพิ่มขึ้นของ "ad load" หรือปริมาณโฆษณาในวิดีโอสั้นบน Instagram Reels ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 70 basis points เป็น 22.2% ในไตรมาสที่ 3สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่สูงขึ้นจากผู้ใช้งาน

Apple (AAPLUS) ปรับตัวลง 0.20% หลังนักวิเคราะห์จาก Barclays ยังคงคำแนะนำไว้ที่ Underweight ด้วยราคาเป้าหมายที่ $186หลังข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าแนวโน้มความต้องการ iPhone 16 ของ Apple มีสัญญาณความต้องการที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

- ข้อมูลสำคัญที่นักวิเคราะห์ใช้ในการประเมินสถานการณ์ ได้แก่ 1) ระยะเวลารอคอยสินค้าที่สั้นลงทั้งในสหรัฐฯ และจีน ซึ่ง iPhone 16 Pro และ Pro Max ที่มีระยะเวลารอคอยที่สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับรุ่น iPhone 15 ในปีที่แล้ว 2) ยอดสั่งจองล่วงหน้าที่ลดลง โดยตามข้อมูลจากซัพพลายเช่น ยอดสั่งจองล่วงหน้าทั่วโลกคาดว่าจะลดลงประมาณ 10-20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และ 3) การตอบรับที่อ่อนแอในตลาดสำคัญโดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ชะลอตัวลง

Microsoft (MSFT US) ปรับตัวลง 0.12% หลังนักวิเคราะห์จาก D.A. Davidson ปรับลดคำแนะนำจาก Buy มาอยู่ที่ Hold โดยให้เหตุผลว่าการแข่งขันในด้าน AI มีความรุนแรงมากขึ้น

 

- ประเด็นสำคัญที่ D.A. Davidson ชี้ให้เห็น ได้แก่ 1) ความได้เปรียบด้าน AI ของ Microsoft ลดลง เนื่องจาก Amazon Web Services (AWS) และ Google Cloud Platform (GCP) แสดงอัตราการเติบโตที่ใกล้เคียงกันและกำลังปิดช่องว่างในการเพิ่มธุรกิจคลาวด์ 2) Microsoft ยังล้าหลังในด้านเทคโนโลยีชิป โดยชิป Maia ยังล้าหลังกว่าของ Amazon และ Google 3

Tesla (TSLA US) ปรับตัวขึ้น 3.88% หลังนักวิเคราะห์จาก Barclays คาดการณ์ว่ายอดส่งมอบรถยนต์ในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้น 8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ประมาณ 470,000 คัน ซึ่งสูงกว่า consensus ที่ 461,000 คัน

 

- ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการคาดการณ์นี้คือ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก Barclays คาดว่ายอดส่งมอบในจีนจะอยู่ที่ประมาณ 179,000 คัน ซึ่งจะเป็นสถิติรายไตรมาสใหม่ แม้ว่าจะมีการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่องกับคู่แข่งในประเทศ

.

Nike (NKE US) ปรับตัวลง 1.13% หลังนักวิเคราะห์จาก JPMorgan ได้จัดให้ Nike อยู่ใน "Negative Catalyst Watch" ก่อนการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของปีบัญชี 2025โดยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น เหลือ $0.48 ต่ำกว่า consensus ที่ $0.52

 

- ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของ Nike ได้แก่ 1) ผู้บริโภคในจีนยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น การส่งเสริมการขายผ่านช่องทางดิจิทัลส่งผลกระทบต่อความต้องการ และแบรนด์ท้องถิ่นยังคงเพิ่มส่วนแบ่งตลาดผ่านการแข่งขันด้านราคา 2) traffic ของผู้บริโกคในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา อ่อนตัวลงและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และ 3) ความท้าทายของรายได้ในส่วน Direct-to-consumer ในสหรัฐฯ และผลกระทบจากการใช้จ่ายที่ลดลงของผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย

 

Source: Bloomberg, Seeking Alpha, Investing, Infoquest, Reuters

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง