ORไม่หวั่นขึ้นค่าแรง มาร์จิ้นQ2ฟื้นต่อ
OR เผยค่าการตลาดไตรมาส 2/2566 ฟื้นตัวต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 1/2566 ได้รับผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลง ชี้ความต้องการน้ำมันอากาศยาน, เศรษฐกิจเติบโตหนุนผลงานทั้งปี 2566 เติบโตต่อเนื่อง มั่นใจขึ้นค่าแรงกระทบจำกัด ด้านนักวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิทั้งปีโต 13%YoY แนะ “ซื้อ” เป้า 26 บาท
นางสาวปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวคาดการณ์ค่าเฉลี่ยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2566 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง หนุนจากราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มทรงตัวที่ราว 80.3 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรลใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทไทยกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ที่เฉลี่ยทรงตัวที่ราว 33.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หนุนให้บริษัทสามารถบริหารจัดการสต๊อกน้ำมัน (Oil Stock) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“โดยปกติบริษัทบริหารจัดการ Stock น้ำมันตามความต้องการซื้อ และความต้องการขาย (Supply/Demand) ในตลาดอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามหากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนสูง บริษัทอาจจะได้รับผลกระทบทั้งด้านบวก ด้านลบ โดยบริษัทใช้ระบบหรือกระบวนการประมวลผลข้อมูลโดยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้คำนวณปริมาณการเก็บสำรองน้ำมันคงเหลือ เพื่อให้เกิด Stock Gain / Loss ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท”
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานทั้งปี 2566 ของบริษัทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามค่าเฉลี่ยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศ โดยสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 2.7–2.87% ผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย GDP ประเทศเนื่องจากความต้องการ (Demand) น้ำมันอากาศยานในอุตสาหกรรมการบิน (Aviation) ที่ฟื้นตัวตามความต้องการเดินทางที่มากขึ้น ประกอบกับคาดการณ์ค่าการตลาดทั้งปีจะอยู่ระหว่าง 0.70-1.20 บาทต่อลิตร
ส่วนแนวโน้มการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลชุดใหม่นั้น เบื้องต้นประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในกรอบจำกัด เนื่องจากฐานอัตราค่าจ้างของบริษัทสูงกว่า ฐานค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าจะบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 789,785 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 10,370 ล้านบาท เนื่องจากการเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเฉพาะการท่องเที่ยว ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/2566 บริษัทมีรายได้ 197,414 ล้านบาท และกำไร 2,975 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ผันผวน ความกังวลเศรษฐกิจถดถอยจากธนาคารกลางในยุโรปและสหรัฐที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ รวมถึงสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้มีผลต่อธุรกิจของบริษัท”
เบื้องต้นมีแผนการขยายสถานีบริการน้ำมัน พีทีทีสเตชั่นทั้งปี 2566 ที่ราว 100 สาขา, จุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในสถานีบริการน้ำมันฯอีก 500 สถานี รวมถึงติดตั้งโซลาร์รูฟในสถานีบริการฯ อีกราว 400-500 สาขา ระบบจัดเก็บในรูปแบบ Energy Storage เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในสถานีบริการตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการขยายและสร้างความแข็งแกร่งของ Business Value Chain ของ กลุ่มธุรกิจ Lifestyle รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรและการลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ โดยนอกจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) แล้วบริษัทยังให้ความสำคัญในกลุ่มธุรกิจด้าน Health & Wellness และ Tourism รวมถึงการผลักดันให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท. อย่างเป็นระบบ รวมไปถึงการลงทุนใน Green Energy เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของแหล่งพลังงาน ตอบสนองความต้องการใช้พลังงานทุกประเภทของผู้บริโภคอย่างครอบคลุม
แนะ “ซื้อ” เป้า 26 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดการณ์แนวโน้มยอดขายและอัตรากําไรงวดไตรมาส 2/2566 ต่อเนื่องตลอดครึ่งหลังของปี 2566 ของ OR มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง หนุนจากปริมาณขายนํ้ามันจะโตต่อเนื่องจากการบริโภคของกลุ่มนักท่องเที่ยวและภาคเอกชน ขณะเดียวกันการที่ภาครัฐบาลปรับขึ้นค่าการตลาดค้าปลีกนํ้ามันดีเซลจาก 1.4 บาทต่อลิตร เป็น 1.8 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะช่วยให้ค่าการตลาดค้าปลีกนํ้ามันของ OR กลับสู่กรอบในระดับ 1 บาทต่อลิตร ได้ในช่วงที่เหลือของปี 2566 เบื้องต้นยังคงประมาณการกําไรปี 2566 ที่ 1.17 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% YoY คงคําแนะนํา "ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 26 บาท