ส่องหุ้น 4 กลุ่ม รับผลกระทบล็อกดาวน์ 14 วัน
ข่าววันนี้ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์ประเมินผลกระทบและหากพิจารณาผลกระทบมาตรการล็อกดาวน์เข้มขึ้นใน 10 จังหวัดสำคัญ 14 วัน เริ่ม 12 – 26 ก.ค.64 ยับยั้งการแพร่ระบาดการติดเชื้อโควิด-19 ต่อบริษัทจดทะเบียนไว้ดังนี้
กลุ่มค้าปลีก : ที่ได้รับผลกระทบแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มที่ต้องปิดสาขา หรือพื้นที่ขายบางส่วน ผลกระทบสูง นำโดย CRC ที่ต้องปิดห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่น และปิดพื้นที่ขายบางส่วน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ของตกแต่งบ้านในร้านไทวัสดุ เช่นเดียวกับ ILM, HMPRO, DOHOME, BJC
2) กลุ่มที่ยังเปิดได้ปกติ แต่ต้องปรับเวลา ผลกระทบจะอยู่ในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ที่ต้องปรับเวลาปิดตั้งแต่ 20.00 – 4.00 น. (เดิม 24 ชั่วโมง) ส่วน MAKRO, COM7, SPVI หลักๆเป็นการปรับลดเวลาปิด เป็นช่วง 20.00 น. สอดคล้องกับทุกรายดังกล่าว
ภาพรวมประเมินผู้ที่ได้รับผลกระทบมากสุดตามคาดการณ์สัดส่วนยอดขายจากมาตรการดังกล่าว คือ ILM, HMPRO และ CRC จากการต้องปิดสาขา รวมถึงพื้นที่ขายในร้าน ภายใต้มาตรการ 14 วัน ประเมินกรณีถูกปิดร้านจะกระทบต่อ SSSG ปี 2564 ที่เฉลี่ยราว 1% รองมาเป็นกลุ่มร้านสะดวกซื้อ CPALL, CRC (Family Mart) และ BJC (Mini Big C) ทั้งนี้ แม้คิดเป็นระยะเวลาการปิดราว 33% ของเวลาเปิด (8 จาก 24 ชั่วโมง) แต่สัดส่วนยอดขายช่วงดังกล่าวคิดเป็นราว 20% ขณะที่จำนวนสาขาที่กระทบครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ 10 จังหวัด จึงคาดผลกระทบไม่สูง
โดยกลุ่มที่ยังกระทบจำกัด คือ BJC, DOHOME, MAKRO, COM7 และ SPVI เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของร้านยังสามารถเปิดได้ตามปกติ จะมีเพียงบางสาขาที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่อาจจะโดนปิดไปบ้าง ทั้งนี้ ผลกระทบทั้งหมดยังอาจชดเชยได้บางส่วนจากยอดขายช่องทางออนไลน์ของแต่ละบริษัทที่มีความพร้อม และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นตลาดน่าจะกลับมาให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรไตรมาส2/64 โดดเด่น และได้รับผลกระทบจากมาตรการศบค.จำกัด จึงแนะนำ Selective Buy เลือก DOHOME (FV@B30.4), COM7 (FV@B80) และ SPVI (FV@B8.65) ชณะที่หุ้นใหญ่ที่ยัง Laggard อาจจะกลับมาอยู่ในช่วงพักฐาน เน้นซื้อลงทุนระยะยาว รอรับสถานการณ์คลี่คลาย BJC (FVB@39.5), MAKRO (FV@B44) และ CPALL (FV@B65.5)
กลุ่มศูนย์การค้านำโดย CPN : ประกาศปิดศูนย์การค้า 15 สาขาในกรุงเทพและปริมณฑล ตั้งแต่ 12 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป โดยเบื้องต้นตามคำสั่งรัฐมีกำหนดปิด 14 วันและเปิดได้เฉพาะธุรกิจที่กำหนด ถือเป็น Sentiment เชิงลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยศูนย์การค้าในกรุงเทพและปริมณฑล 15 แห่ง จากทั้งหมดภายใต้บริหารรวม 34 แห่ง (รวมมาเลเซีย) มีพื้นที่ให้เช่ารวม 7.9 แสนตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วน 50% ของพื้นที่เช่ารวม และ สร้างรายได้ค่าเช่าประมาณ 59% ของรายได้ค่าเช่าธุรกิจศูนย์การค้าในปี 2563 ภาพรวมย่อมกดดันต่อผลประกอบการไตรมาส3/64 อ่อนตัวลงจากไตรมาส2/64 แต่จะมากน้อยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ปิดให้บริการ
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในระยะยาวจะเห็นการฟื้นตัวเร็ว เมื่อสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายเหมือนปีก่อน ประกอบกับโครงสร้างการเงินที่แข็งแรง ทำให้บริษัทยังสามารถอยู่รอดท่ามกลางวิกฤติครั้งนี้ จึงคงแนะนำซื้อระยะยาว ด้วยเป้าหมายเดิมที่ 58.00 บาท โดยหาจังหวะเข้าสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
กลุ่มเช่าซื้อ : ประเมินผลกระทบจากการล็อกดาวน์ เนื่องจากผู้บริโภคออกนอกบ้านลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.และปริมณฑล กดดันการขอสินเชื่อลดลงตามไปด้วย สอดคล้องกับสินเชื่อ ณ สิ้นงวดไตรมาส2/63 ของกลุ่มเช่าซื้อที่อ่อนตัวลง 1.1% qoq (แต่เติบโต 7.7% yoy) มาที่ 2.8 แสนล้านบาท ที่มีช่วงล็อกดาวน์ในช่วง ปลายมี.ค.-พ.ค. 63 ทั้งนี้ ในภาวะปกติสินเชื่อกลุ่มเช่าซื้อจะเติบโตเฉลี่ยราว 1-3% qoq ทำให้ฝ่ายวิจัยประเมินว่าสินเชื่อจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงชั่วคราวในงวดไตรมาส3/64 ฝ่ายวิจัยยังชอบ MTC (FV@B80) จากทิศทางกำไรสุทธิและสินเชื่อสุทธิยังเติบโตต่อเนื่องในปี 2564
ภาคการก่อสร้าง : ได้รับผลกระทบโดยตรงตั้งแต่การออกมาตรการปิดแคมป์คนงาน เนื่องจาก Backlog ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างในตลาดหลักทรัพย์ อาทิ CK,NWR,SYNTEC,SEAFCO และ PYLON มีงานส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพ-ปริมณฑล โดยผลกระทบยังมีไปตลอดทั้ง Supply Chain ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ที่จะต้องลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากสินค้าเต็มสต็อก และอาจไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าตามกำหนด
บล.คันทรี่ กรุ๊ป วิเคราะห์ว่า หุ้นรับผลกระทบเชิงลบได้แก่ BEM BTS CPALL CENTEL CPN CRC HMPRO M MINT OR PTG SPA อย่างไรก็ตามราคาหุ้นชุดข้างต้นปรับฐานลงมาแล้วทำให้ Downside จากนี้เริ่มจำกัดบนสมมติฐานว่ายังไม่มีปัจจัยด้านการยกระดับมาตรการคุมเข้มเข้ามา
ส่วนหุ้นได้ประโยชน์มองไปยัง ADVANC COM7 SIS SYNEX หนุนจากการ Work from home
ส่วนดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวแต่เชื่อว่ากรอบข้างบนยังมี Upside จำกัด เนื่องจาก (1) ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19รายใหม่ ยังทรงตัวระดับสูง (2) เข้าใกล้การประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส2/64 เชื่อว่าหลังจากนี้นักวิเคราะห์จะเริ่มปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนเพื่อสะท้อนการระบาดที่ดำเนินมาถึงไตรมาส 3 และมีแนวโน้มที่ทั้งไตรมาส 3 จะเผชิญการระบาดต่อ ถือเป็นปัจจัยกดดันในระยะถัดไป ทั้งนี้โดยประเมิน SET กรอบ 1,540 – 1,580
แนะนำการลงทุน Selective เน้นหุ้นอิงภายนอกเป็นหลัก อาทิ ส่งออก (ASIAN CBG DELTA HANA NER KCE TU) โรงพยาบาล (BCH CHG) รวมถึงกลุ่มน้ำมัน (PTT PTTEP) ผลบวกจากราคาน้ำมันปรับขึ้น ส่วนนักลงทุนระยะยาวหุ้น Domestic บางตัวลงมาจน Valuation เริ่มน่าสนใจสะสม (BEM BTS CPN KBANK M)