เจาะ Q4/67 อัพเดตแนวโน้ม MTC "เคจีไอ" แนะกลยุทธ์ลงทุน
#ทันหุ้น - บล.เคจีไอ สแกน หุ้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ส่งสัญญาณว่าคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นเล็กน้อย, สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง และ margin จะลดลงใน Q4/67 ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงคาดว่ากำไรใน Q4/67 จะเพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 20% YoY ในขณะที่กำไรเต็มปี 2567F จะเพิ่มขึ้น 21% ส่วนในระยะต่อไป ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 2568F ลง 3.5% จากการปรับลด yield สินเชื่อ และ credit cost ลง และใช้ PE ปี 2568F ที่ 15.5x ทำให้ได้ราคาเป้าหมายปี 2568F ที่ 50.5 บาท (จาก 52 บาท) โดยมองว่าราคาหุ้นของ MTC อยู่ใกล้จุดต่ำสุดแล้ว เพราะ PE อยู่ระดับเกือบต่ำสุดในรอบสามปีที่ 14x ซึ่งหากลดลงไปอีกจะเป็นโอกาสให้เข้าซื้อ
ประมาณการ Q4/67 และอัพเดตแนวโน้ม ทั้งนี้ คาดว่ากำไรใน Q4/67F จะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (+3% QoQ, +20% YoY), +21% YoY ในปี 2567F บริษัทส่งสัญญาณว่าสินเชื่อจะโตใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ฝ่ายวิจัยคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวประมาณ 2-3% QoQ และ 15% YoY โดยสินเชื่อใหม่จะเน้นที่สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ นอกจากนี้ บริษัทยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอาไว้เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า yield สินเชื่อน่าจะทรงตัว
Margin ลดลงเพราะต้นทุนการระดมทุนสูงขึ้นมาก ฝ่ายวิจัยคาดว่าต้นทุนการระดมทุนจะเร่งตัวขึ้นจากการออกหุ้นกู้สกุล USD ซึ่งมีต้นทุนสูงในเดือนตุลาคม 2567 และการระดมทุนใหม่เพื่อทำการรีไฟแนนซ์ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น คาดว่าต้นทุนการระดมทุนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 30bps QoQ และ 50bps YoY ซึ่งกดดันให้ margin ลดลง
คุณภาพสินทรัพย์ –NPL และคชจ.สำรองฯ (credit cost) ทรงตัว บริษัทบอกว่า NPL ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และ มีแนวโน้มจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยเพราะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งช่วยให้ยอดเก็บหนี้ดีขึ้น และรายได้ภาคเกษตรที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม credit cost น่าจะยังทรงตัวอยู่ที่ระดับสูงเพื่อเพิ่ม NPL coverage ซึ่งปัจจุบันอยู่ <130% ฝ่ายวิจัยใช้สมมติฐาน credit cost ใน Q4/67 ที่ประมาณ 3% และ ในปี 2567 ที่ 304bps
ปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 และปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 50.5 บาท ปรับคำแนะนำเป็นซื้อ MTC ขยายสินเชื่อในอัตราที่ชะลอลงในช่วง 4-5 ไตรมาสที่ผ่านมา และน่าจะทำให้สินเชื่อขยายตัว 15% ในปี 2567F โดยฝ่ายวิจัยมองว่าแนวโน้มปี 2568 น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่าแรงกดดันทางด้านต้นทุนการระดมทุนจะยังดำเนินต่อไปตลอด 1H68F แต่จะลดลงใน 2H68F จากภาวะตลาดพันธบัตรที่ไม่ปกติ และการกู้สินเชื่อระหว่างประเทศที่มีต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือเฟส 2 ที่จะนำมาใช้กับฐานลูกค้าของบริษัทนอนแบงก์ ซึ่งในเบื้องต้นจะคิดที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปัจจุบัน -10% ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2568F ลง 3.5% จากการปรับลด yield สินเชื่อ และ ปรับลด credit cost ลง (figure 1) ฝ่ายวิจัยใช้ PE ปี 2568F ที่ 15.5x ทำให้ได้ราคาเป้าหมายปี 2568F ที่ 50.5 บาท (จาก 52 บาท) จึงยังคงคำแนะนำถือ
Risks NPLs เพิ่มขึ้น และ credit cost เพิ่มขึ้นหลังจากที่ธปท. ผ่อนคลายนโยบาย TDR, ไม่สามารถระดมทุนจากหุ้นกู้เพื่อมาใช้ขยายสินเชื่อ