บาทแข็ง ฉุดส่งออก ราคาข้าวไทยร่วง

หากกล่าวถึงสถานการณ์ผลผลิตข้าว ต้องบอกว่า ปีนี้ผู้ผลิตข้าวทั่วโลก มีผลผลิตเกินความต้องการทุกประเทศ ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงสำคัญของไทย ในการบริหารข้าวจำนวนมากในประเทศที่กำลังจะออกสู่ตลาดพร้อมกัน และยังต้องจับตา “เงินบาท” ที่แข็งค่า ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทยด้วย
ทั้งนี้ถ้าดูจากข้อมูล กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ที่ เผยแพร่รายงาน Rice Outlook : September 2025 ระบุว่า คาดการณ์ผลผลิตข้าวทั่วโลกในปี 2568/69 จะอยู่ที่ 541.1 ล้านตัน สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 100,000 ตัน ซึ่งถือเป็นผลผลิตข้าวที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
โดยในเดือนก.ย.นี้ ประเมินว่า ผลผลิตที่ออสเตรเลีย รัสเซีย และเวียดนามจะลดลง แต่ผลผลิตข้าวโลกจะไปเพิ่มขึ้นที่ประเทศคาซัคสถานและสหรัฐ ฯ แทน
ส่วนหากเทียบเป็นรายปี คาดว่า ผลผลิตข้าวทั่วโลกในปี 2568/2569 จะสูงกว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่หลายราย ได้แก่ บังกลาเทศ จีน และอินเดีย ชดเชยผลผลิตข้าวที่มีขนาดเล็กกว่า อย่างในบราซิล กัมพูชา อินโดนีเซีย ไนจีเรีย ไทย สหรัฐ และเวียดนาม
โดยมีประเทศอินเดีย และจีนเป็นสองประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตข้าวทั่วโลก
ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า "อุปทานข้าว" ทั่วโลกในปี 2568/69 จะอยู่ที่ 729.5 ล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา และเป็นปีที่สามติดต่อกันที่ปริมาณข้าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยสาเหตุที่ปริมาณข้าวทั่วโลกเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณข้าวสำรองเริ่มต้นที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในพม่า โคลอมเบีย อินเดีย ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกา ทำให้ในตลาดมีปริมาณข้าวจำนวนมาก
ส่วนการคาดการณ์ “การบริโภคข้าว” ทั่วโลกในปี 2568/69 นั้น ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุน จากการบริโภคข้าว ที่คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ในหลายประเทศ โดยผู้บริโภคข้าวรายใหญ่ปัจจุบัน ได้แก่ บังกลาเทศ อินเดีย ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
จึงคาดการณ์ว่า ปริมาณข้าวคงเหลือทั่วโลกในปี 2568/69 จะอยู่ที่ 187.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 600,000 ตันจากการคาดการณ์ครั้งก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าปีก่อนหน้า 1.1 ล้านตัน ส่วนใหญ่อยู่ในจีน และอินเดีย โดยมีสัดส่วนรวมกันประมาณ ร้อยละ 80 ของสต๊อกสุดท้ายทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายคงคลังของรัฐบาล
นอกจากนี้ รายงานยังระบุถึง การค้าข้าวโลกในปี 2569 ที่ยังคงคาดการณ์ว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านตันจากปี 2568 โดยการค้าข้าวโลกในปีปฏิทิน 2569 จะอยู่ที่ 62.1 ล้านตัน
เนื่องจากการคาดการณ์ การส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นของพม่าที่ประมาณการการส่งออกข้าวในปี 2569 จาก 400,000 ตัน เป็น 2.2 ล้านตัน โดยอิงจากการปรับเพิ่มประมาณการการส่งออกข้าวในปี 2568 จาก 200,000 ตัน เป็น 2.1 ล้านตัน เนื่องจากอัตราการขนส่งข้าวหักที่มีราคาที่แข่งขันได้ไปยังตลาดหลัก
ซึ่งส่วนใหญ่คือ จีนทำให้ต้องปรับลดคาดการณ์การส่งออกของปากีสถานลงเหลือ 5.2 ล้านตัน เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดแอฟริกา และเอเชีย ส่วนสหรัฐ ฯ ปรับลดคาดการณ์การส่งออกลง หลือ 3.0 ล้านตัน
ขณะที่ในส่วนของ “การนำเข้าข้าว” ทั่วโลกในปี 2569 คาดการณ์ ณ เดือนก.ย.นี้การนำเข้าข้าวมาดากัสการ์ พบการบริโภคเพิ่มขึ้น จากยอดนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 และออสเตรเลีย จากการคาดการณ์ผลผลิตข้าวที่ลดลง
ส่วนประเทศอื่นๆ หลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน เบนิน และคาซัคสถาน ปรับลดคาดการณ์ส่งออดลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนสถานการณ์ “ราคาข้าว” ทั่วโลก พบว่า สหรัฐฯ และประเทศผู้ส่งออกส่วนใหญ่ในเอเชียและอเมริกาใต้ ราคาข้าวเปลือกร้อยละ 4 ลดลลงมาอยู่ที่ 595 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันจากการเก็บเกี่ยว
ส่วนราคาข้าวเปลือก ร้อยละ 5 ของอินเดีย ลดลง 5 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 380 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการทั่วโลกที่ลดลง ราคาข้าวหักร้อยละ 5 ของเวียดนามลดลง 18 ดอลลาร์ต่อตัน มาอยู่ที่ 382 ดอลลาร์ หลังจากที่ฟิลิปปินส์ประกาศห้ามนำเข้าข้าวเป็นเวลา 60 วัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.68
โดยการห้ามดังกล่าว เป็นผลมาจากราคาข้าวเปลือกภายในประเทศที่ตกต่ำ ส่วนราคาข้าวเปลือกปากีสถานยังคงที่ 360 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนราคาข้าวหัก ร้อยละ 5 ของพม่าอยู่ที่ 330 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลง 10 ดอลลาร์ เป็นราคาที่ต่ำที่สุดในเอเชีย
ซึ่งในทางตรงกันข้ามพบว่า ราคาข้าวเปลือกเกรด B 100% ของไทยเพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 372 ดอลลาร์ต่อตัน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดย ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิสัปดาห์นี้ ราคาที่เกษตรกรขายได้ทังประเทศอยู่ที่เฉลี่ยตันละ 14,817 บาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 0.05 จากราคาเฉลี่ยตันละ 14,825 บาท ส่วนข้าวเปลือกเจ้าความชื้นร้อยละ 15 เฉลี่ยตันละ6,591 บาท ลดลงจากตันละ 6,605 บาท หรือ ลดลงร้อยละ 0.21
อย่างไรก็ตามเมื่อมาดู ภาค “การส่งอออกข้าว” ไทยในปีนี้ จากข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) 2568 มีประมาณ 5.24 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 6.58 ล้านตัน หรือลดลง ร้อยละ 20.37
โดยมีมูลค่าส่งออกเป็นเงินเหรียญสหรัฐอยู่ที่ 3,061 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่า 4267 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ 28.26 โดยสาเหตุหลัก มาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 7.68
ส่วนหากคิดมูลค่าส่งออกเป็นรูปเงินบาท จะเห็นว่า มูลค่าการส่งออกข้าวได้ปรับลดลงอย่างมาก โดยปีนี้มีมูลค่า 101,436 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีมูลค่า 152,607 ล้านบาท หรือลดลง 51,171ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 33
เนืองจากเงินบาทในช่วง 8 เดือนแรกแข็งค่าขึ้น ร้อยละ 7.68 เฉลี่ยอยู่ที่ 33.26 บาท/เหรียญสหรัฐ จากที่ปีก่อนอยู่ที่ 36.02บาท/เหรียญสหรัฐ
ส่วน ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยเดือนส.ค. 2568 ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาส่งออกข้าวเหนียวเพิ่มขึ้น และราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยคงที่ อยู่ที่ 1146 เหรียญสหรัฐ/ตัน
โดย “ไทย” ยังคงส่งออกข้าวขาวมากเป็นอันดับหนึ่ง มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 47.44 ตลาดหลักคือ อิรัก จีน ญี่ปุ่น มาเลซีย โมซัมบิก
รองลงมา ได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย ร้อยละ 23.49 คือ สหรัฐอเมริกา เซเนกัล ฮ่องกงแคนาดา จีน , ข้าวนึ่ง ร้อยละ16.05 คือ แอริกาใต้ เยเมน ไนจีเรีย ,ข้าวหอมไทย ร้อยละ 7.21 คือ สหรัฐอเมริกา เซเนกัล โกตดิวัวร์
,ข้าวเหนียว ร้อยละ 4.26 คือ จีน อินโดนิเซีย สหรัฐอเมริกา และข้าวกล้อง ร้อยละ1.39 คือแองโกลา ไต้หวัน เกาหลีใต้ เบลเยี่ยม
ส่วนปัญหา “ค่าเงินบาท” ที่แข็งค่าแรงกว่าร้อยละ 7 เมื่อเทียบจากต้นปี จนทำให้ภาคผู้ส่งออก และภาคการเงินต่างได้รับผลกระทบนั้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ล่าสุดได้จัดตั้งทีมแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าแล้ว โดยจะเน้นตรวจสอบเงินทุนที่ไหลเข้าประเทศ ซึ่งบางจุดอาจมีที่มาไม่ชัดเจน
ทั้งนี้ ทีมตรวจสอบดังกล่าวจะมีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อ Connect The Dots เชื่อมแหล่งที่มาของเงินทุนที่ไหลเข้าประเทศ ทีมนี้จึงมีทั้งกระทรวงการคลัง, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานอื่นๆ
ส่วนการขยายตลาดข้าวในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปี 2568 นี้ กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมแผนเร่งเจรจาขยายตลาดเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดและเร่งดําเนินการผลักดันการส่งออกข้าวไทยตามที่ได้หารือร่วมกับภาคเอกชนสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเพื่อช่วยให้มีคําสั่งซื้อรองรับผลผลิตข้าว
โดยนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าววว่า กรมฯ เดินหน้าจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในภูมิภาคโอเชียเนียผ่านการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ออสเตรเลีย
ซึ่งในปีนี้มีผู้ประกอบการจากออสเตรเลียและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ จีน สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล เกาหลีใต้ อิตาลี โปแลนด์ สเปน ไต้หวัน และสิงคโปร์ เข้าร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 1,000 ราย
ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจ ผู้นำเข้า ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย ผู้ประกอบการร้านอาหาร และสถาบันสอนทำอาหารเข้าเยี่ยมชมงานกว่า 26,000 ราย เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
สำหรับปีนี้ กรมฯ ได้จัดแสดงนิทรรศการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์ข้าวหอมมะลิไทยในฐานะสินค้าคุณภาพระดับโลกที่มีความโดดเด่นด้านรสชาติ ความนุ่ม และความหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และประชาสัมพันธ์เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทยให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้น
โดยคณะผู้แทนกรมฯ ได้ให้ข้อมูลคุณภาพมาตรฐาน ความ หลากหลายและคุณประโยชน์ของข้าวไทยแก่ผู้เข้าชมคูหา รวมทั้งแจกของที่ระลึกที่มีเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างการจดจำคุณภาพมาตรฐานข้าวไทย
นอกจากนี้ ยังนำข้าวคุณภาพชนิดอื่น ได้แก่ ข้าวหอมไทย ข้าวกล้อง ข้าวขาว ข้าวเหนียว ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าว กข43 มาจัดแสดงภายในงานฯ เพื่อสร้างทางเลือกที่หลากหลายและกระตุ้นการบริโภคข้าวคุณภาพในตลาดสุขภาพของออสเตรเลีย.
ดังนั้นเพื่อให้สู้กับประเทศอื่นในตลาดโลก ไทยมองว่า “ตลาดข้าวนุ่ม” ยังเป็นที่น่าสนใจต่อผู้บริโภค โดย นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า
ล่าสุด กรมการข้าวได้รับรองพันธุ์ข้าวจำนวน 4 พันธุ์ ซึ่งข้าวแต่ละพันธุ์มีจุดเด่นที่แตกต่างกันเพื่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ประกอบด้วย
1.ข้าวเจ้าจาปอนิกา เป็นพันธุ์รับรองชื่อ "กขจ3" เป็นพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ความสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ลำต้นแข็ง คอรวงยาว มีหางบางเมล็ด เมล็ดร่วงยาก อายุการเก็บเกี่ยว ฤดูนาปรังประมาณ 109 - 116 วัน ฤดูนาปีประมาณ 103 - 108 วัน สามารถให้ผลผลิตเฉลี่ย 733 กิโลกรัมต่อไร่ แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาชลประทานในเขตภาคเหนือ
2.ข้าวพันธุ์รับรอง "กข113" โดยพันธุ์ดังกล่าวจัดเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง สูงประมาณ 117 เซนติเมตร ลำต้นค่อนแข็ง ไม่มีหาง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 105 - 110 วัน เมื่อปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม และ 107 - 115 วัน
มีลักษณะเด่นคือ เป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่มไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าพันธุ์ปทุมธานี 1 ผลผลิตเฉลี่ย 946 กิโลกรัมต่อไร่ สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 1,124 กิโลกรัมต่อไร่แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาชลประทานในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง
3.ข้าวเจ้า กข117 เป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ความสูงประมาณ 113 เซนติเมตร ลำต้นแข็งมาก คอรวงสั้น เปลือกสีฟางร่องน้ำตาล ไม่มีหาง รูปร่างเรียว ผลผลิตเฉลี่ย 653 กิโลกรัมต่อไร่
สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 868 กิโลกรัมต่อไร่ ทนต่อสภาพแล้งดีกว่า ต้นเตี้ย ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาน้ำฝนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ประสบภัยแล้ง หรือพื้นที่มีโรคไหม้ และขอบใบแห้งระบาด
4. ข้าวเจ้า กข119 เป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ต้นสูงประมาณ 109-115 เซนติเมตร ลำต้นค่อนข้างแข็ง ข้าวเปลือกสีฟาง มีหาง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 95 - 100 วัน
เมื่อปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม และ 105-115 วัน โดยวิธีปักดำ สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 993 กิโลกรัมต่อไร่สำหรับพื้นที่แนะนำนั้น แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาชลประทานในเขตภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคเหนือตอนบน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
