เช็กอุณหภูมิหุ้นไทย ! หลังโปรดเกล้ารัฐบาล "อนุทิน" บริษัทไหนน่าลงทุน เช็กที่นี่ ?

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งแตะระดับ 1,312.74 จุดสูงสุดในรอบ 7 เดือนครึ่ง แรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ผสมโรงกระแสข่าวการบรรลุข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับแพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้นของบริษัทจีน ช่วยคลายกังวลต่อประเด็นตึงเครียดทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศ แต่ช่วงท้ายสัปดาห์ต่างชาติเทขายหุ้นไทยทำกำไรหลังทราบผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดทำให้ดัชนีหลุด 1,300 จุด
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร หลังเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จะดึงความเชื่อมั่นการลงทุนและเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน และนโยบายเร่งด่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้นจะเป็นอย่างไร ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า หลังจากภาพการเมืองชัดเจนและมีเสถียรภาพทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นถือเป็นภาพที่ดีในระยะยาว ซึ่งยอมรับว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วเกิดนิติสงครามทำให้ดัชนีหุ้นไทยร่วงแรง เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลออก แต่หลังจากพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยจัดทำข้อตกลงร่วม (MOA) เพื่อสร้างหลักประกันว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาภายใน 4 เดือนทำให้ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยลดลง
นอกจากนี้หุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังมา ( ก.ค.-ก.ย.) ดีดปรับตัวขึ้นไปแล้ว 19% เป็นอันดับ 5 ของโลก แต่ในเดือนก.ย. หลังภาพรัฐบาลใหม่ชัดเจนหุ้นไทยปรับขึ้นมา 5% เป็นอันดับ 8 ของโลก ซึ่งในเชิงเทคนิคถือว่าเข้าสู่ Overbough หรือขึ้มมาแรงมากเกินไป โดยหุ้นที่อยู่ในตลาดมีประมาณ 600 กว่าบริษัท โดย RSI เข้าเขต Overbough มีประมาณ 17% ของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดทั้งหมด ดังนั้นอาจจะมีการพักฐาน
หากย้อนอดีต SET Index จะขยับขึ้นจนมีหุ้นที่มี RSI เข้าเขต Overbought เกิน 15% จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หลังจากที่ตลาดรับรู้ข่าวไปแล้ว SET Index จะย่อตัว ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยถ้าแตะที่ระดับ 1,380 จุด ใน 12 เดือนข้างหน้า เหลืออัพไซด์เพียง 6% ซึ่งถ้าอัพไซด์ต่ำกว่า 10% ปกติหุ้นไทยย่อพักฐานก่อน หลังจากที่ตลาดตอบรับข่าวที่เกิดขึ้นในเชิงบวกไปแล้ว
นอกจากนี้การที่กระทรงการคลังเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่งให้ประชาชนใช้เงินผ่าน “เป๋าตัง” จะกระตุ้นการบริโภคหุ้นที่ได้ประโยชน์จะเป็นหุ้นค้าปลีก เช่น CPALL ,CPAXT ,CPN,CBG ,OSP, ICHI
ส่วนกรณีที่มีการภาคเอกชนขอให้รัฐยกเว้นภาษีเงินปันผลสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย และถือหุ้นเกิน 1 ปี และให้วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนตรงในตลาดหุ้น คนละ 500,000 บาทต่อปี โดยต้องคงเงินลงทุนไว้ในตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า 3 ปี แต่สามารถซื้อขายเพื่อสับเปลี่ยนตัวหุ้นได้
รวมถึงสนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESG คนละ 300,000 บาท เหมือนเดิมต่อไป แต่ให้ทำแบบถาวร เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดเวลาเหมือนกองทุน LTF ที่ผ่านมานั้น ถ้าสามารถเกิดขึ้นได้จริงจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคัก โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จะเป็นหุ้นปันผลสูง เช่น SCB,PTT,CPF,PTTEP,AP เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ถ้ารัฐบาล “อนุทิน 1 “ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายลดลง นอกจากนี้งบประมาณปี 69 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาทได้ผ่านสภาฯ เรียบร้อยแล้วก็จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ที่จะต้องระวังคือ ความเสี่ยงภาษี “ทรัมป์” อาจจะกระทบส่งออก ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทย (บอนด์ยีลด์) 10 ปี ดอกเบี้ย 1.36% แต่ดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจปรับลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีวันที่ 17 ธ.ค.นี้”
สำหรับทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดแกว่งไซด์เวย์ ประเมินแนวรับแรกที่ 1,280 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,260 จุด แนวต้านแรกที่ 1,300 จุด แนวต้านถัดไป 1,310 จุด โดยตัวเลขสำคัญที่จะต้องติดตามคือ ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ เดือน ส.ค. คาดว่าจะอยู่ที่ 2.7% จากเดิมอยู่ที่ 2.6%
ส่วนการเคลื่อนไหวของหุ้นไทยช่วงต้นเดือนก.ย.-ปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิ 103 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านพบว่า อินโดนีเซียขายสุทธิ 645 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนามขายสุทธิ 481ล้านเหรียญสหรัฐ ฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 28 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไต้หวันซื้อสุทธิ8.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในช่วงต้นเดือนก.ย.-ปัจจุบัน (mtd)พบว่า หุ้นไทยบวก 4.8% ไต้หวันบวก 6% เกาหลีใต้บวก 7.9% ฟิลิปปินส์บวก 2% อินโดนีเซียบวก 2.2% ยกเว้นเวียดนามที่ลบ 1.9% โดยดัชนีหุ้นไทยที่ดีดปรับตัวขึ้นมารับกระแสข่าว “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี
ด้านค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า หลังจากที่ก่อนหน้านี้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับเฟดลดดอกเบี้ยตามคาดทำให้นักลงทุนขายทำกำไรออกมาบางส่วน เป็นปัจจัยที่กด SET เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ เนื่องจากใกล้เข้าสู่วันหยุดยาวแห่งชาติของจีน Golden Week
ขณะที่เงินบาทอ่อนค่า แนะนำหุ้น ERW ราคาเป้าหมาย 2.9 บาท หุ้น CENTEL ราคาเป้าหมาย 36 บาท หุ้น Defensive ราคาแลกการ์ด เลือก BDMS ราคาเป้าหมาย 29 บาท BCH ราคาเป้าหมาย 18 บาท หุ้น High Dividend Yield ชอบ SCB ราคาเป้าหมาย 133 บาท ปันผล 8% ต่อปี PTT ราคาเป้าหมาย 35 บาท ปันผล 6.4%
ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาแกว่งตัวขึ้นทะลุ 1,300 จุดขึ้นไปได้ รับข่าวโปรดเกล้าครม.ชุดใหม่ แต่ปลายสัปดาห์หลุด 1,300 จุด จากแรง Sell on fact หลัง Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ผสานกับประเด็น FTSE Rebalance รอบใหม่ มีผลราคาปิดวันศุกร์ที่ผ่านมา คาดว่าส่งผลให้เงินทุนไหลออกสุทธิ ประมาณ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดหวังว่านโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่จะทำ เช่น คนละครึ่งนั้น คาดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท หรือ 0.3%ของ GDP ไทย (รัฐบาล และประชาชนฝั่งละ 2.5 หมื่นล้านบาท)
ซึ่งมาตรการดังกล่าวคาดเม็ดเงินที่เข้าในระบบเศรษฐกิจบวกต่อกลุ่ม Domestic หุ้นอิงกำลังซื้อภายใน หลักๆ คือ กลุ่มค้าปลีก อาทิ นำโดย TNP (รับประโยชน์โดยตรง เป็นร้านค้าท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการในครั้งก่อน) CPAXT (ขายสินค้าให้ร้านค้าท้องถิ่นอีกทอด)
กลุ่มที่มีสินค้าจำหน่ายในร้านค้าท้องถิ่น อาทิ เครื่องดื่ม CBG , OSP, ICHI) ขนม (TKN, CHAO) น้ำมันพืช (TVO) สินค้าอุปโภค (NEO) กลุ่มที่จำหน่ายวัตถุดิบให้ร้านอาหาร KCG เป็นต้น
ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อม อาทิ กลุ่มร้านอาหาร หนุนจากกำลังซื้อของผู้บริโภคสูงขึ้น หุ้นแนะนำคือ BUY: MAGURO, M
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยงของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดคาดจะลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ครั้งละ 0.25% ส่วนดอกเบี้ยของไทย KSS ยังคงมุมมองเป็นขาลง
โดยนับตั้งแต่ต้นปี ไทยลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วรวม 2 ครั้งรวม 0.50% อัตราดอกเบี้ยล่าสุดอยู่ที่ 1.5% ประเมินในช่วง 4Q25 คาดจะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งประมาณ 0.25% ประเมิน Terminal Rate สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1.25% อิงเหตุผลสนับสนุนความเชื่อหลักๆที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยไทยจะปรับลงคือ
ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกและสหรัฐฯเป็นขาลง สนับสนุนทำให้ไทยมีความจำเป็นที่ต้องปรับลดดอกเบี้ยตาม เพราะหากไทยยังคงยืนอัตราดอกเบี้ยที่เดิม สวนทางโลกที่เดินหน้าลดดอกเบี้ย จะส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย และอัตราแลกเปลี่ยนมีโอกาสจะผันผวนสูง
ขณะที่มุมมองจากการประชุม กนง. รอบล่าสุด ในช่วง กลางเดือน ส.ค. เปิดทางมีโอกาสลดดอกเบี้ย ทั้ง เผยมีความพร้อมลดดอกเบี้ย หากประสิทธิภาพไม่สูงพอกระตุ้นรอบนี้ที่เน้นภาค SMEs และสินเชื่อครัวเรือนไม่มากพอ
ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปไทย ส.ค. 25 ติดลบ 5 เดือนติดต่อกัน ผสานอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไทย (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย – เงินเฟ้อ) เป็นบวกติดต่อกัน 28 เดือนติด หนุนโอกาสไทยลดดอกเบี้ย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น : KSS คาดผลบวกต่อเศรษฐกิจจริงคาดจะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจในช่วง 3-6 เดือนหน้า แต่ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกจูงใจให้ภาคธุรกิจ เดินหน้าลงทุน ผสานปัจจัยสำคัญ คือ ผลจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในไทยที่มีแนวโน้มต่ำลงต่อเนื่องในช่วง 4Q25 และปีหน้า คาดจะเริ่มกระตุ้น Investment & Capex cycle รอบใหม่ที่นำ โดยภาคเอกชน ภายใต้สมมติฐานความไม่แน่นอนการเมืองปัจจุบันที่ใกล้มีความชัดเจนด้านใดด้านหนึ่งให้เร่งลงทุน ผสานกับการลงทุนในตลาดเงิน ตลาดทุนมองเป็นบวกจะหนุนภาวะ Search for Yields ประเมินการลดดอกเบี้ยทุกๆ 0.25% จะบวกต่อ SET ประมาณ 50-55 จุด
ปัจจัยบวกลบในสัปดาห์หน้า
• 22 ก.ย. ติดตามอัตราเงินกู้ลูกค้าชั้นดีของจีนอายุ 1 ปี และ 5 ปี คาดคงที่ระดับ 3.0% และ 3.5% ตามลำดับ
• 23 ก.ย. ดัชนี Flash PMI ภาคผลิต และภาคบริการของสหรัฐฯ เดือนก.ย.
• 24 ก.ย. ยอดขายบ้านใหม่ ส.ค. ของสหรัฐฯ
• 25 ก.ย. รายงาน GDP 2Q25 ครั้งที่ 3 คาด +3.3%
• 26 ก.ย. ติดตามเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ เดือนส.ค.ตลาดคาด +2.7%y-y, +0.2%m-m จากเดิมอยู่ที่ +2.6%- y-y +0.3%m-m ส่วน Core PCE ส.ค. คาด . +2.9%y-y, +0.2%m-m จากเดิมอยู่ที่ +2.9%y-y, +0.3%m-m
กลยุทธ์การลงทุนหุ้นเด่นแนะนำ
• CPALL (TP25F-80): ตลาดให้น้ำหนักมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ที่เริ่มทำงาน
• SAWAD (Trading): ดอกเบี้ยขาลง หุ้น Domestic มีแรงหนุนการเริ่มงานรัฐบาลใหม่
• BGRIM (TP25F-16): กระแส Tech ยังแรง เงินบาทอยู่โซนแข็งค่า ใกล้ COD โครงการใหม่ และ Upside จากการทบทวนนโยบาย Pool Gas
แม้ว่าการบริหารงานของรัฐบาล “อนุทิน 1” จะมีระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน แต่หากลงมือทำงานอย่างจริงจังและตั้งใจ ก็จะถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางทิศทางเศรษฐกิจ และการลงทุนของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นนโยบายที่จะต้องผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรมระยะสั้นแบบ “Quick Win Policy” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยฝ่ามรสุมไปให้ได้ เพราะหากทำภารกิจต่างๆ สำเร็จตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยได้รับคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งในปีหน้าและได้กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งก็เป็นได้....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
