ย้อนอดีตหุ้นไทย "ยุครัฐบาลไหนรุ่ง-ร่วง" ท่ามกลางการเมืองระอุรอบใหม่

เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน หลังจากคลิปสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเป็นการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การปิด-เปิดด่าน ทั้งยังมีการอ้างถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงชี้แจงเร่งด่วน ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการลาออก รวมไปถึงท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ท่าทีพรรคภูมิใจไทยแตกหักกับรัฐบาลประกาศถอยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนพรรคร่วมอื่นยังร่วมรัฐบาลไปต่อทุบหุ้นไทยเซ่นปมร้อนการเมือง 3 วันร่วง 45.95 จุด หรือลดลง 4.13%
โดยในวันนี้ TNN Online พาไปย้อนดูดัชนีหุ้นไทยภายใต้การบริหารประเทศของ 10 รัฐบาลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรัฐบาลไหนบ้างที่ดัชนีพุ่งกระฉูด และรัฐบาลไหนบ้างที่ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง จากผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทิศทางหุ้นไทยสัปดาห์หน้าจะไปต่ออย่างไร และหุ้นตัวไหนที่ยังน่าลงทุน ตามไปส่องกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เล่าย้อนสถิติในอดีต-ปัจจุบันของบุคคลสำคัญที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศถึงการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยพบว่า
สมัย "ชวน หลีกภัย" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.ย. 1992 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 20 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 68.7% จาก 863 จุด ไปแตะที่ระดับ 1,456 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยบูม และไทย โดยไทยเคยถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
สมัย "บรรหาร ศิลปอาชา" พรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.ค. 1995 บริหารประเทศ 1 ปี 4 เดือน 12 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง 34% จากระดับ 1,467 จุด มาอยู่ที่ระดับ 968 จุด เนื่องจาก ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยเริ่มปริแตก หลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 1990 ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ปล่อยสินเชื่ออย่างไม่มีวินัย หนี้เสียเริ่มสะสม นักลงทุนเริ่มมองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเปราะบาง
สมัย "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์" พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน พ.ย. 1996 บริหารประเทศ 11 เดือน 14 วัน ดัชนีหุ้นไทยลดลง 49% จากระดับ 1,996 จุด มาอยู่ที่ระดับ 543 จุด โดย ในช่วงกลางปี 1997 ประเทศไทยประสบวิกฤตทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย ซึ่งวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 รัฐบาล ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท บาทอ่อนค่ารุนแรง ภาระหนี้ต่างประเทศของเอกชนพุ่ง บริษัทจำนวนมากล้มละลาย นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นและพันธบัตรส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดหนัก
สมัย "ทักษิณ ชินวัตร" พรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ก.พ. 2001 บริหารประเทศ 5 ปี 7 เดือน 10 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 114.5% จากระดับ 327จุด มาอยู่ที่ระดับ 702 จุด นักลงทุนในตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน พักหนี้เกษตรกร และโครงการบ้านเอื้ออาทร
สมัย "พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วง พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก่อรัฐประหาร) เดือน ต.ค.ปี 2006 บริหารประเทศ 1 ปี 3 เดือน 28 วัน ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 9.7% จาก 688 จุด ไปแตะที่ระดับ 755 จุด
สมัย "สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์" พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนม.ค. ปี 2008 ซึ่งทั้ง 2 คนบริหารประเทศ 10 เดือน 3 วัน หุ้นลง 48% จากระดับ 747 จุด ลงไปสู่ระดับ 387 จุด โดย สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ (ก.ย. 2008) เพราะจัดรายการทำอาหารในทีวี ขัดรัฐธรรมนูญ ส่วน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) ชุมนุมใหญ่ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง เป็นเวลา หลายวัน ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายรุนแรง การท่องเที่ยวและการลงทุนกระทบหนัก
สมัย "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" พรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดือนพ.ย. 2008 บริหารประเทศ 2 ปี 7 เดือน 19 วัน หุ้นไทยพุ่ง 145% จากระดับ 445 จุด ขึ้นไปแตะระดับ 1,093 จุด เนื่องจากเป็นช่วงหมดวิกฤติซัพไพร์ม
สมัย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2011 บริหารประเทศ 2 ปี 9 เดือน 2 วัน หุ้นไทยพุ่ง 24.8% ดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 1,124 จุด เป็น 1,402 จุด เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (ประชานิยมเฟสใหม่) ทั้ง โครงการรับจำนำข้าว ลดภาษีนิติบุคคล แจกแท็บเล็ตนักเรียน รถยนต์คันแรก และเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาหาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่
สมัย "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี (ช่วงรัฐประหาร) เดือนส.ค. 2014 บริหารประเทศ 8 ปี 11 เดือน 29 วัน หุ้นไทยร่วง 0.4% จากระดับ 1,551 จุด ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,545 จุด
สมัย "เศรษฐา ทวีสิน" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เดือน ส.ค. 2023 และ "แพทองธาร ชินวัตร" พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ 1 ปี 10 เดือน หุ้นไทยร่วง 30% จากระดับ 1,526 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,069 จุด โดยกรณีของ "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปม แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่พิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุกหกเดือนฐานละเมิดอำนาจศาล ส่วน "แพทองธาร" นั้น เกิดจากคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” หลุด
สรุปแล้วดัชนีหุ้นไทยปรับตัวร้อนแรงเป็นช่วงที่ “อภิสิทธิ์” พรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี พุ่งกระฉูด 145% ถัดมาเป็นสมัย “ทักษิณ” พรรคไทยรัฐไทย เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นไทยขึ้น 114.5% และสมัยที่ “ชวน” พรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นขึ้น 68.7%
ในทางกลับกันดัชนีลงแรงในช่วงที่สมัยพล.อ.ชวลิต พรรคความหวังใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีหุ้นไทยดิ่ง 49% สมัยที่สมัคร สุนทรเวช และสมชายวงศ์สวัสดิ์ พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นร่วง 48% สมัยบรรหาร ดัชนีหุ้นไทยร่วง 34% สมัย “เศรษฐา” - “แพทองธาร” พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยร่วงไปแล้ว 30%
โดยทิศทางตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังร้อนแรงจากประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากรัฐบาลมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าง 8 ที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลจะได้เก้าอี้เพิ่มเติมตรงกระทรวงไหนบ้าง ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่ 14 พ.ค.-19 มิ.ย.หุ้นไทยลงไปแล้ว 12% ซึ่งเป็นการลงมากสุดในโลก รองลงมาเป็นตลาดหุ้นอาร์เจนตินา ติดลบ 9.7% ตลาดหุ้นซาอุดิอารเบียติดลบ 8% สวนทางหุ้นโลกปรับขึ้น 1.7% และถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นจะทำให้หุ้นไทยผันผวนหนักในช่วงสั้น
ดังนั้นการลงทุนเน้นหุ้น Defensive คาดกำไรเติบโตในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เช่น BH ราคาเป้าหมาย 230 บาท PR 9 ราคาเป้าหมาย 31 บาท CPAXT ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท และหุ้นปันผลสูง ราคาเป้าหมาย 2.04 บาท
ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมิน ฉากทัศน์การเมือง (Political Scenarios) ไว้ 3 สถานการณ์ 1.กรณีนายกฯ ลาออก ตั้ง ครม. ใหม่ กรณีนี้ลดแรงกดดันได้เร็ว แต่ยังมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระยะกลางจากการฟอร์มทีมใหม่ 2. กรณียุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ใน 45-60 วัน นับจากวันยุบสภาฯ SET มีโอกาสฟื้นตัวเร็ว เมื่อเริ่มชัดเจน เป็นกระบวนการ Refresh ตลาดระยะสั้น แต่มีผลกระทบต่องบประมาณปี 2569 ชั่วคราว แม้ช่วยคืนความชัดเจนระยะกลาง 3. กรณี รัฐบาลเดินหน้าต่อ เพื่อพลักดันร่างงบประมาณปี 2569 เดินหน้าด้วยเสียงปริ่มน้ำ < 275 เสียง ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพในสภาฯ สูง จำกัด Upside ของ SET ในระยะสั้น แต่ถ้าผ่านร่างงบประมาณได้ จะสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว
โดยปัจจุบัน อยู่ที่กรณีที่ 3 ประเมิน SET ที่เริ่มสะท้อนความกังวลการเมืองตั้งแต่ 13 พ.ค. และปรับตัวลงแล้วราว -12% สะท้อนความเสี่ยงการเมืองไปพอสมควรแล้ว หากอิงสถิติการเคลื่อนไหวในอดีต ช่วงที่มีสถานการณ์การเมืองที่คล้ายกัน คือ เหตุการณ์ยุบสภา ฯลฯ อาทิ 1. ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภา ม.ค. - ก.พ. 2006 2. ตุลาการภิวัฒน์ (ศาลตัดสินผลการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ) พ.ค. - มิ.ย.2006 3.รัฐประหาร 19 ก.ย. 2006 4. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา 21 เม.ย. – 6 พ.ค.2011 5.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา 8 ต.ค.2013- 3 ม.ค.2014 6.รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2014 พบว่า สถิติผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย ติดลบ - 9.2%
ดังนั้นระยะสั้น ประเมินแนวรับ SET Index รอบนี้ คือ 1070-1056 จุด (SET low ต่ำสุดของปีนี้เมื่อวันที่ 8 เม.ย.) หากสถานการณ์อยู่ในกรอบที่เราประเมิน (กรณี Worst ที่เกิดกลไกนอกเหนือการดำเนินตามเงื่อนไขสภามองราว 1000 จุด) กอปรกับ สถานการณ์ที่ใกล้มีความชัดเจน จากวานนี้ที่เริ่มมีจุดเปลี่ยน ทำให้ประเมิน Risk Sentiment น่าจะอยู่ในขาปลายแล้ว โดยSET ปรับฐาน -12% จากกลางเดือน พค 2025 ถึงระดับต่ำสุดวันนี้ และ มี ERP ปัจจุบัน 5.85% > ค่าเฉลี่ย +2.5SD หรือเพิ่ม 1.16% มากกว่าค่าเฉลี่ยการเมืองในอดีต น่าจะตอบรับไปมากระดับหนึ่ง
โดยแนะนำระยะสั้น เน้นพักเงินบางส่วนในหุ้นกลุ่ม Global Plays (กลุ่มพลังงาน น้ำมัน กลุ่มปิโตรเคมี และส่งออก) เน้น PTTEP, PTT, PTTGC, MINT ที่มี Earnings Visibility และถูกกระทบการเมืองน้อย ผสานทยอยสะสมหุ้น Domestic ที่ตอบรับความเสี่ยงการเมืองไปมาก เน้นกลุ่มที่เป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว อาทิ Infra Tech โรงไฟฟ้า GULF สื่อสาร ADVANC ภาคบริการที่หุ้นมีความมั่นคงสูง ร.พ. BDMS, BCH ค้าปลีก CPALL ท่องเที่ยว CENTEL
ปิดท้ายที่ "บล.หยวนต้า " ระบุว่า การถอนตัวออกจากรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ทำให้สถานะของรัฐบาลมี ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพมากขึ้น โดยจากการประเมินเบื้องต้นตามข้อมูล ข่าวการเมืองที่เปิดเผยโดยทั่วไป เสียงในสภาฯ มีทั้งสิ้น 495 เสียง การมี เสียงเกินครึ่งสภาฯเพื่อดารงสถานะความเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก คือ ต้องรวมเสียงให้ได้มากกว่า 248 เสียง
แต่หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัว ซึ่งมีเสียงราว 69 เสียง ทาให้เสียง ของรัฐบาลลดลงจาก 324 เสียง เหลือราว 255 เสียง ซึ่งถือว่ามีความ เสี่ยงมากเมื่อเทียบกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (ชุดก่อนหน้า) มี 278 เสียง เพราะฉะนั้น ถ้ามีการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 พรรค จาก พรรคที่มีเสียงอย่างมีนัยสาคัญ เช่น รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง, พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง, หรือพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง รัฐบาลจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้าหรือเสียงข้างน้อยทันที ซึ่งจะ บริหารประเทศได้อย่างยากลาบาก เพราะต้องคอยขอเสียงสนับสนุนจาก ฝ่ายค้าน หากต้องการผ่านกฎหมายสาคัญ
ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เราประเมินว่ารัฐบาลมี 3 ทางเลือก คือ 1. บริหารประเทศด้วยเสียงข้างน้อย 2. นาย ก ฯ ลาออก เพื่อสรรหานายกฯ และ จัดตั้ง ครม. ชุดใหม่ผ่าน กระบวนการของสภาฯ 3. นายกฯประกาศยุบสภาฯเพื่อคืนอานาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง
โดยการประเมินผลกระทบด้านปัจจัยการเมืองต่อ SET Index เราอิงที่ความ ชัดเจน ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และความต่อเนื่องในการ ดาเนินนโยบาย ประกอบกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยอิงสถิติที่เกิดขึ้นใน อดีตเป็นสาคัญ
ทางเลือกที่เป็นบวกต่อ SET Index มากที่สุด คือ นายกฯลาออก เพราะใช้ เวลาสรรหาสั้น โดยเทียบกรณีคุณเศรษฐาพ้นตาแหน่ง 14 ส.ค. 2024 สภาฯสามารถเลือกนายกฯท่านใหม่ได้อย่างรวดเร็วในวันที่ 16 ส.ค. 2024 โดยในส่วนของข้อมูลเชิงสถิติ วันที่ 14 ส.ค. 2024 SET Index ลงไปทา จุดต่าสุด -1.3% ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดลบเพียง -0.4% และหลังจากนั้น SET Index บวก +3.1% ในช่วง 5 วันทาการ
ทางเลือกที่เป็นลบต่อ SET Index มากที่สุด คือ การบริหารประเทศด้วย เสียงข้างน้อย เพราะจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วยงบประมาณที่จำกัด และ นายกฯมีความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาฯหรือลาออกตามมา หากไม่สามารถ ผ่านกฎหมายสาคัญต่อสภาฯ เช่น พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี
กรณียุบสภาฯเรามองเป็นกลาง สถานการณ์จะนิ่งขึ้น แต่ต้องใช้เวลา เลือกตั้งใหม่ใน 45-60 วัน และแม้รัฐบาลชุดเดิมยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ แต่การพิจารณางบประมาณปี 2026 หรือการ เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อาจไม่สามารถดาเนินการได้อย่างเต็มที่ ส่วนสถิติ ต่อ SET Index การยุบสภาฯล่าสุด คือ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 20 มี.ค. 2023 พบว่า SET Index ลงไปทาจุดต่าสุด -1.3% ก่อนจะเด้งขึ้นมาปิดลบ -0.5% และหลังจากนั้นพลิกมาบวก +2.4% ในช่วง 5 วันทำการ
ดังนั้นประเมินว่า SET Index ที่ Underperform ตลาดหุ้นภูมิภาค ในเดือน มิ.ย. โดย -4.8% MTD เทียบกับ MSCI Asia ex. Japan ที่ +3.7% MTD คงหลีกเลี่ยง ไม่ได้ที่จะสรุปว่าเป็นเพราะปัจจัยการเมืองในประเทศ ทั้งกรณีชั้น 14 รพ.ตารวจ, การปรับ ครม., ความ ขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล, และความขัดแย้งพื้นที่ ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาพื้นที่ชายแดนที่กระทบ เสถียรภาพของรัฐบาลมากที่สุด ส่งผลให้พรรค ร่วมรัฐบาล คือ ภูมิใจไทย ประกาศถอนตัว ทาให้ เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลลดลงเหลือประมาณ 255 เสียง จาก 324 เสียง ถือเป็นความเสี่ยงด้าน เสถียรภาพ เพราะเป็นระดับที่ปริ่มน้าเมื่อเทียบกับ เสียงกึ่งหนึ่งของสภาฯที่ 248 เสียง หากมีพรรค ร่วมรัฐบาลถอนตัวเพิ่มเติม จะเข้าสู่เงื่อนไขรัฐบาล เสียงข้างน้อย ที่นาไปสู่การลาออกของนายกฯหรือ การยุบสภาฯทันที
แม้ปัจจัยการเมืองยังกดดัน แต่เราประเมินว่าใกล้ ถึงจุดเปลี่ยนสาคัญ ซึ่งถ้าอิงข้อมูลตามสถิติ ไม่ว่า จะเป็นกรณียุบสภาฯ หรือสรรหานายกฯใหม่ผ่าน กระบวนการสภาฯ SET Index ถูกกระแทกก่อนใน ช่วงแรก แต่ไม่มากนัก โดยวันที่ประกาศ ลงไปทา จุดต่าสุด -1.3% ซึ่งมักเป็น Bottom ของรอบนั้น ก่อนจะฟื้นตัวรับข่าวการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และ ความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวตามมา
ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน ระหว่างรอความ ชัดเจนด้านปัจจัยการเมือง แนะนำสลับเก็งกาไรใน Global Play เช่นพลังงานต้นน้ำ โรงกลั่น ปิโตร เคมี หรือพักเงินใน Defensive Play เช่นกลุ่ม REIT แล้วค่อยกลับมา Buy on fact หุ้นขนาดใหญ่ที่ผลประกอบการ ยังโตดี เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลงชัดเจน ช่น ADVANC, TRUE, CPALL, CPAXT, BDMS, MINT, KBANK, SCB, GULF, GPSC, BEM เป็นต้น
ก้าวย่างต่อไปที่หลายฝ่ายจับตา คงอยู่ที่พรรคเพื่อไทยว่าจะเกลี่ยเก้าอี้ใหม่ให้ลงตัวได้อย่างไร หลังไร้เงาพรรคภูมิใจไทย เพื่อประคองเสถียรภาพรัฐบาลให้ฝ่ามรสุมในขณะนี้ไปให้ได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญความสุ่มเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ที่พร้อมจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกเมื่อ ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน เกาะติดตลาดใกล้ชิด และอย่าผลีผลามเข้าลงทุน เพราะปัจจัยที่ยืนรออยู่ตรงหน้า พร้อมจะพลิกผันได้ตลอดเวลา....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
