รีเซต

จับตาคนไทยหนี้ท่วม! เซ่นพิษโควิด-19 รอบใหม่ ชี้ผลสำรวจความเชื่อมั่นประชาชนร่วงทุกรายการ

จับตาคนไทยหนี้ท่วม! เซ่นพิษโควิด-19 รอบใหม่ ชี้ผลสำรวจความเชื่อมั่นประชาชนร่วงทุกรายการ
ข่าวสด
7 มกราคม 2564 ( 15:49 )
57
จับตาคนไทยหนี้ท่วม! เซ่นพิษโควิด-19 รอบใหม่ ชี้ผลสำรวจความเชื่อมั่นประชาชนร่วงทุกรายการ

จับตาคนไทยหนี้ท่วม - นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลการสำรวจความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยเดือนธ.ค. 2563 จากการสอบถามตัวอย่างจากประชาชนทั่วประเทศเป็นจำนวน 2,249 คน พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวอยู่ในระดับต่ำสุด ในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563 เป็นต้นมา เนื่องจากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ที่มีการระบาดเป็นวงกว้างและรวดเร็ว

 

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ปรับตัวดีขึ้น ทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนพ.ย. 2563 แต่ยังต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ เพราะมีความกังวลในวิกฤตโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศไทยและทั่วโลก ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสปรับตัวแย่ลงได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคลดลง

 

ดังนั้น การปรับตัวลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการในเดือนนี้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภครับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนและปรับตัวอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563 เป็นต้นมา โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 52.4 เป็น 50.1 ซึ่งการที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงแย่จากจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานใน อนาคตโดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและอนาคต

รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 36.3 มาอยู่ที่ 34.5 แสดงว่าภาวะเศรษฐกิจไทย ในปัจจุบันแย่มากในมุมมองของผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตก็ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกันโดยปรับตัว ลดลงจากระดับ 60.1 มาอยู่ที่ระดับ 57.4 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าปกติ (คือ 100) สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังขาดความเชื่ออย่างมากเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

 

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวลดลงอีกครั้ง และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนนั้น ศูนย์พยากรณ์ฯ คาดว่าผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายอย่างมากตลอดจนไตรมาส 1 ของปี 2564 จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลายตัวลง โดยเห็นว่ารัฐบาลควรอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปเพื่อพยุงเศรษฐกิจต้องใช้เงินอีก 2 แสนล้านบาท แต่หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องใช้วงเงิน 4-6 แสนล้านบาท รวมทั้งหากจะกระตุ้นการใช้จ่ายมาตรการคนละครึ่งยังสามารถต่อยอดได้โดยอาจเพิ่มวงเงินจาก 3,500 บาทต่อคน เป็น 5,000 บาทต่อคน หรือเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วมโครงการจาก 15 ล้านคนเป็น 20 ล้านคน

 

อย่างไรก็ตาม ศูนย์พยากรณ์ก็ยังมั่นใจว่ารัฐบาลจะควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ ไม่มีการระบาดในวงกว้างเพิ่มขึ้นจนต้องล็อกดาวน์แบบเข้มข้นเหมือนในช่วงเดือนมี.ค. และเม.ย. 2563 โดยคาดว่าผลกระทบต่อโควิดต่อเศรษฐกิจไทยหากควบคุมสถานการณ์ได้และล็อกดาวน์ไม่เข้มข้นจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเดือนละ 101,000 ล้านบาท หรือกระทบจีดีพีติดลบ 0.63% ต่อเดือน และจีดีพีจะอยู่ที่ 0.9-2.2% แต่หากล็อกดาวน์ทั้งประเทศจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเดือนละ 200,710 ล้านบาท หรือกระทบจีดีพีติดลบ 1.25% ต่อเดือน และจีดีพีจะอยู่ที่ติดลบ-0.35%

 

รวมทั้งหนี้ครัวเรือนมีโอกาสทะลุ 90% ได้ในไตรมาสแรกของปี 2564 หากการล็อกดาวน์เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์หน้าศูนย์พยากรณ์ฯจะแถลงผลสำรวจหนี้ครัวเรือนของประชาชน ซึ่งมีแนวโน้มว่าการก่อหนี้ภาคครัวเรือนของประชาชนจะสูงขึ้นโดยเฉพาะหนี้นอกระบบเนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนได้ใช้สิทธิในการกู้สินเชื่อในระบบเต็มเพดานโดยใช้สินทรัพย์ เช่น รถ บ้าน ที่ดิน ค้ำประกันไปแล้ว ดังนั้นในรอบการสำรวจล่าสุดที่จะถึงนี้เป็นการสำรวจในช่วงที่ประชาชนได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 จึงมีแนวโน้มว่าต่อไปหนี้นอกระบบจะมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อให้มากขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง