BGC ชี้ปลดล็อกขายแอลกอฮอล์หนุนตลาดเครื่องดื่มไม่มาก คาดยอดขายใกล้เคียงปีก่อน

#BGC #ทันหุ้น-BGC ชี้การปลดล็อคขายแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ไม่ได้ช่วยหนุนให้ตลาดเครื่องดื่มเติบโตมากนัก มองการเติบโตจะขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวมว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็มองน่าจะมีทิศทางทีดีขึ้น หลังได้รัฐบาลใหม่ ที่แม้จะบริหารงานในระยะเวลาสั้นแต่ก็ผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา รวมถึงเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ก็จะหนุนให้เศรษฐกิจดีขึ้น และทำให้ธุรกิจเติบโต ในส่วนของ BGC วางเป้าหมายยอดขายปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งมองว่าเป็นปีทีท้าทาย ขณะเดียวกันได้จับมือกับบริษัท สวอนอินดัสทรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตกระป๋องเหล็ก เช่นกระป๋องทูน่าเพื่อช่วยขยายฐานลูกค้า

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC เปิดเผยกับ"ทันหุ้น"ว่าถึงกรณีที่มีข่าวว่ารัฐบาลจะปลดล็อกกฎหมายห้ามขายแอลกอฮอล์ในร้านอาหารช่วง 14.00-17.00 น.นั้นว่า เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลต่อตลาดเครื่องดื่มมากนัก ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้ทำให้ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เติบโตมากนัก เพราะมองว่าเวลาที่ปล็กล็อคดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ยังทำงาน ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็สามารถซื้อแอลกอฮอล์ตุนไว้ก่อนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ตลาดเครื่องดื่มเติบโตจะมาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจเติบโตไม่มาก

ส่วนกรณีที่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร และมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมองว่าเป็นรัฐบาลที่มีระยะเวลาบริหารงาน 4 เดือน แต่ก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้างประกอบกับเป็นช่วงปลายปีซึ่งเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ จึงมองว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของบริษัทก็น่าจะมีแนวโน้มที่ดี และต่อไปหากมีการเลือกตั้งทั่วไป ก็มองว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจได้

ในส่วนของการดำเนินธุรกิจของ BGC ในปี 2568 นี้ วางเป้าหมายที่จะให้ยอดขายเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะในปีนี้มองว่าเป็นปีที่ท้าทาย แต่จะดีในแง่ของต้นทุนวัตถุดิบที่ดีขึ้น จากการที่ซดาแอช และเศษแก้วราคาอ่อนตัวลง จึงทำให้อัตากำไรขั้นต้นน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นได้

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา BGC ได้จับมือกับบริษัท สวอนอินดัสทรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระป๋องเหล็ก เช่นกระป๋องปลาทูน่า ซึ่งได้ให้บริษัท สวอนดินดัสทรี่ส์ฯ เข้ามาถือหุ้นในบริษัทที่ไม่ใช่ประกอบธุรกิจแก้วในสัดส่วนประมาณ 25% โดยการร่วมขยายฐานลูกค้าซึ่งจะเกิดผลดีต่อทั้งสองฝ่าย