กกร.ชี้น้ำท่วมฉุดจีดีพีปี 68 เหลือร้อยละ 2

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) กล่าวว่าอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนและธุรกิจอย่างมาก ความเสียหายในบางพื้นที่อยู่ในระดับรุนแรงเป็นลำดับ 4 ซึ่งเทียบเคียงกับเหตุการณ์สึนามิในปี 2547คาดการณ์ว่าการสูญเสียรายได้ในเดือนธันวาคม 2568 เพียงเดือนเดียวจะอยู่ที่ประมาณ 20,000–30,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.1-0.2 ของ GDP ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 ขยายตัวอยู่ที่เพียงร้อยละ 2
สำหรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการควรทำทั้งมาตรการเร่งด่วน เช่น สินเชื่อฟื้นฟู พักชำระหนี้ และสนับสนุนการซ่อมแซมเครื่องจักร รวมถึงมาตรการระยะกลางและยาว เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วม การทำแผนภูมิอากาศสำหรับเมืองเศรษฐกิจสำคัญ และกลไกเพิ่มขีดความสามารถของเอสเอ็มอีให้ปรับตัวต่อเหตุการณ์รุนแรงได้ดีขึ้น
กกร. ชี้ว่า ปัญหาสำคัญที่สุดคือค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเกือบร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงต้นเดือน 7 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ไทยมีค่าเงินแข็งค่าที่สุดในภูมิภาค ในขณะที่คู่แข่งสำคัญในการส่งออกและท่องเที่ยวอย่างเวียดนามกลับมีค่าเงินอ่อนค่าลงกว่า ร้อยละ 3 ความแตกต่างนี้ทำให้ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยแพงกว่าคู่แข่งเกินร้อยละ 10 ส่วนผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวมีความชัดเจน โดยนักท่องเที่ยวเลือกเดินทางไปยังประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่า เช่น ญี่ปุ่น และเวียดนาม กกร. จึงเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หามาตรการดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าในตอนนี้
พร้อมกันนี้ยังได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับเพียงร้อยละ 1.6-2 โดยคาดการณ์ว่าการส่งออกในปี 2569 จะติดลบอยู่ที่ติดลบร้อยละ 1.5 ถึงติดลบร้อยละ 0.5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีจากสหรัฐอเมริกา, การแข่งขันด้านสินค้าที่รุนแรงมากขึ้นจากการนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีน, และกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะภาคการผลิตของจีนที่ต้องพึ่งพาการผลิตและส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักในการประคองเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจไทยเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นมากในตลอดปี 2568 และคาดว่าจะทวีความรุนแรงใน ปี 2569