รีเซต

โลกร้อนทำ “เลิฟบั๊ก” ระบาด จับคู่ผสมพันธุ์กลางอากาศทั่วกรุงโซล

โลกร้อนทำ “เลิฟบั๊ก” ระบาด จับคู่ผสมพันธุ์กลางอากาศทั่วกรุงโซล
TNN ช่อง16
2 กรกฎาคม 2568 ( 10:30 )
36

ประชาชนในกรุงโซลของเกาหลีใต้และพื้นที่โดยรอบกำลังเผชิญกับปัญหาจากแมลงปีกดำจำนวนมาก ซึ่งบินว่อนตามเส้นทางธรรมชาติ และรบกวนผู้คนจนเกิดกระแสร้องเรียน โดยแมลงเหล่านี้ชาวเกาหลีใต้เรียกกันว่า “เลิฟบั๊ก” (Lovebugs) ด้วยลักษณะเฉพาะที่ตัวผู้และตัวเมียจะบินติดกันขณะผสมพันธุ์ ซึ่งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานว่าเลิฟบั๊กจำนวนมหาศาลปกคลุมเส้นทางเดินเขาบนภูเขาเกยยังซาน ในเมืองอินชอนทางตะวันตกของกรุงโซล โดยแมลงเหล่านี้เกาะอยู่หนาแน่นบนราวไม้ เสา และบินวนรอบศีรษะผู้คนที่เดินผ่านไปมา

สำหรับแมลงชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนและชื้น มักพบในทวีปอเมริกาเหนือและใต้ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนของพวกมันในเกาหลีใต้กลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะในฤดูร้อน สาเหตุหลักมาจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลจากภาวะโลกร้อน โดยในปี 2567 กรุงโซลได้รับคำร้องเรียนเกี่ยวกับเลิฟบั๊กมากถึง 9,296 ครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 4,418 ครั้งในปี 2566

แม้แมลงชนิดนี้จะไม่กัดหรือเป็นอันตรายต่อมนุษย์โดยตรง แต่พฤติกรรมการรวมฝูงขนาดใหญ่ และการบินเข้าหาผู้คนโดยไม่กลัวมนุษย์ ทำให้สร้างความรำคาญและความหวาดกลัว โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น เส้นทางเดินป่า ย่านพักผ่อน และสวนสาธารณะ

ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงในเกาหลีใต้ให้ข้อมูลว่า เลิฟบั๊กมีวงจรชีวิตสั้นเพียงไม่กี่วัน แต่ในช่วงที่ออกมาผสมพันธุ์ พวกมันสามารถปรากฏเป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน โดยจะพุ่งเข้าหาแหล่งแสงและความชื้น ทำให้พบได้บ่อยบริเวณพื้นที่เขียวชอุ่มหรือที่มีแสง ซึ่งถึงแม้พวกมันอาจจะดูน่าขยะแขยงในสายตาประชาชน แต่หน่วยงานของโซลยืนยันว่า แมลงเหล่านี้เป็น “แมลงที่เป็นประโยชน์” โดยตัวเต็มวัยไม่กัด ไม่แพร่เชื้อโรค และแทบไม่กินอาหาร ในขณะที่ตัวอ่อนมีบทบาทช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน และตัวเต็มวัยช่วยผสมเกสรดอกไม้ การใช้สารเคมีกำจัดแมลงแบบไม่เลือกหน้าอาจทำลายระบบนิเวศและเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เจ้าหน้าที่แนะนำให้ใช้วิธีที่ปลอดภัย เช่นฉีดพ่นน้ำเพื่อล้างแมลงออกจากพื้นผิว ติดตั้งกับดักแสงและแผ่นกาวใกล้แหล่งแสงภายนอก และสวมเสื้อผ้าสีเข้มเมื่ออยู่นอกบ้าน เพราะแมลงเหล่านี้ชอบแสงและสีสว่าง

แม้เลิฟบั๊กจะมีประโยชน์ทางระบบนิเวศ แต่การสำรวจโดยสถาบันโซลพบว่า 86% ของประชาชนมองว่าเลิฟบักเป็นศัตรูพืช โดยจัดให้อยู่ในอันดับ 3 ของแมลงที่น่ารังเกียจที่สุด รองจากแมลงสาบและตัวเรือด โดยรัฐบาลกำลังวิจัยสารชีวภาพกำจัดตัวอ่อนของเลิฟบักที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ขณะที่นักล่าธรรมชาติอย่างนกกางเขนและนกกระจอก เริ่มเรียนรู้ที่จะกินแมลงเหล่านี้ ทำให้บางพื้นที่เริ่มเห็นจำนวนลดลงตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม แมลงเลิฟบักมีอายุขัยสั้นมาก และมักจะหายไปเองภายในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ทำให้การระบาดแต่ละปีคงอยู่เพียงประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น

ตอนนี้ หน่วยงานในกรุงโซลและเมืองใกล้เคียงได้เริ่มดำเนินการฉีดพ่นสารควบคุมแมลง และออกคำแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่พบการระบาดหนาแน่น รวมถึงให้ปิดหน้าต่างและไฟในช่วงกลางคืนเพื่อลดการดึงดูดแมลง

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เริ่มส่งผลอย่างชัดเจนต่อระบบนิเวศ แม้แต่ในเมืองใหญ่อย่างโซล ซึ่งกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง