เมื่อ “โลกร้อน” เปิดทาง จีนส่งเรือฝ่าน้ำแข็งสู่ยุโรป เป็นเส้นทางการค้าใหม่ของโลก!

เรือบรรทุกสินค้าชื่อ “อิสตันบูล บริดจ์” ออกจากท่าเรือนิงโป่-โจวซานของจีนในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา มุ่งหน้าสู่ยุโรปพร้อมตู้สินค้าจำนวนมาก ตั้งแต่แบตเตอรี่ไปจนถึงเสื้อผ้า แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเรือไม่ได้มุ่งสู่คลองสุเอซทางตอนใต้เหมือนเส้นทางค้าปกติ แต่กลับแล่นขึ้นเหนือ ฝ่าความหนาวเย็นของมหาสมุทรอาร์กติก ผ่านเส้นทางที่เรียกว่า “เส้นทางเดินเรือขั้วโลกเหนือ” (Northern Sea Route)
เส้นทางนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการสร้าง “เส้นทางสายไหมทะเลขั้วโลก” หรือ Polar Silk Road ซึ่งเป็นเครือข่ายคมนาคมทางเหนือที่เชื่อมเอเชียกับยุโรป และทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะผลของภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาดไว้
ภูมิภาคอาร์กติกกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าพื้นที่อื่นทั่วโลกราว 4 เท่า ทำให้น้ำแข็งทะเลแตกและละลาย ทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นอุปสรรคทางธรรมชาติกำลังเปิดเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เส้นทางนี้อาจสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์มหาศาลแก่จีน โดยเฉพาะในอนาคตเมื่อขั้วโลกเหนือไม่มีน้ำแข็ง แต่ก็เตือนว่าการเดินเรือจำนวนมากในภูมิภาคที่เปราะบางและอันตรายเช่นนี้อาจก่อหายนะทางสิ่งแวดล้อมและชีวิตมนุษย์ได้ทุกเมื่อ
เรือ “อิสตันบูล บริดจ์” ใช้เวลาราว 18 วันจากจีนถึงเมืองเฟลิกซ์สโตว์ในอังกฤษ โดยมีเรือตัดน้ำแข็งคุ้มกัน เส้นทางจะผ่านช่องแคบแบริ่งระหว่างรัสเซียกับอลาสกา แล้วแล่นเลียบชายฝั่งรัสเซียเข้าสู่ทะเลเหนือ ก่อนเทียบท่าที่ยุโรปหลายประเทศ รวมถึงอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และโปแลนด์
ศุลกากรเมืองนิงโป่ระบุว่า การเดินทางครั้งนี้เป็น “การเปิดเส้นทางคอนเทนเนอร์สายอาร์กติก จีน-ยุโรป เส้นแรกของโลกอย่างเป็นทางการ” และเป็น “ความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในเขตขั้วโลก” ซึ่งจะช่วยให้สินค้าจีนถึงยุโรปได้ทันช่วงฤดูจับจ่ายปลายปี
เส้นทางขั้วโลกเหนือใช้เวลาเดินทางสั้นกว่าเส้นทางคลองสุเอซถึงครึ่งหนึ่ง และยังช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาความไม่สงบในภูมิภาค เช่น การโจมตีเรือพาณิชย์โดยกลุ่มฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในทะเลแดง รวมถึงวิกฤตภัยแล้งที่ทำให้ระดับน้ำคลองปานามาต่ำจนขัดขวางการเดินเรือ
จีนอ้างว่าเส้นทางใหม่นี้จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 50% แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ใช่ “ชัยชนะของสิ่งแวดล้อม” เพราะความเสี่ยงยังสูงมาก
นักอนุรักษ์จากเครือข่าย Clean Arctic Alliance ชี้ว่า แม้น้ำแข็งละลายมากขึ้น แต่ทะเลอาร์กติกก็ยังเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งน้ำแข็งลอยที่อาจขวางทางเรือ ความมืด อุณหภูมิติดลบ และหมอกหนา หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น การกู้ชีพหรือรับมือคราบน้ำมันแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะขาดทรัพยากรช่วยเหลือในพื้นที่ห่างไกล
น้ำมันเชื้อเพลิงที่เรือพาณิชย์ใช้ ซึ่งมักเป็นน้ำมันที่มีมีพิษร้ายแรงและย่อยสลายยาก หากรั่วไหลจะขยายตัวปกคลุมผิวน้ำและชายฝั่ง อีกทั้งยังปล่อย “คาร์บอนดำ” ที่ไปเคลือบผิวน้ำแข็ง ทำให้ละลายเร็วขึ้น
แม้กฎห้ามใช้น้ำมันเตาหนักในอาร์กติกจะเริ่มใช้เมื่อปีที่แล้ว แต่ยังมีช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดให้บางประเทศและบางเส้นทางใช้ได้อยู่ และนอกจากมลพิษแล้ว การเดินเรือเพิ่มขึ้นยังรบกวนระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะเสียงเรือที่รุนแรงและเสี่ยงชนวาฬมากขึ้น
ปัจจุบัน เส้นทางขั้วโลกเหนือยังมีเรือใช้เพียงเล็กน้อย ปีที่ผ่านมา มีเรือราว 90 ลำแล่นผ่าน เทียบกับกว่า 13,000 ลำที่ใช้คลองสุเอซ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า อนาคตของเส้นทางนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งต้นทุนขนส่ง ประเภทสินค้า ความต้องการความรวดเร็ว และสถานการณ์การเมืองโลก หากเส้นทางสุเอซหรือทะเลจีนใต้เกิดความตึงเครียดเพิ่ม เส้นทางอาร์กติกอาจกลายเป็นทางเลือกใหม่ แต่หากเกิดอุบัติเหตุใหญ่หรือคราบน้ำมันครั้งร้ายแรง ก็อาจทำให้เส้นทางนี้ถูกปิดตาย
แม้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเดินเรือจากตะวันตก เช่น Mediterranean Shipping Company (MSC) ประกาศจะไม่ใช้เส้นทางนี้เพราะกังวลผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่จีนกลับเดินหน้าเต็มกำลัง เห็นว่านี่คือ “รางวัลเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะช่วยสร้างความเชี่ยวชาญทางขั้วโลกและเสริมบทบาทของจีนในฐานะผู้มีอิทธิพลด้านการขนส่งระหว่างทวีป
นักวิเคราะห์ตั้งคำถามทิ้งท้ายว่า “เส้นทางนี้จะปลอดภัยและคุ้มค่าหรือไม่” แต่จีนเชื่อว่า “ทำได้แน่”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
