รีเซต

โมดี-สี จิ้นผิง เจอกันครั้งแรกในรอบ 7 ปี มุ่งเดินหน้าฟื้นสัมพันธ์

โมดี-สี จิ้นผิง เจอกันครั้งแรกในรอบ 7 ปี มุ่งเดินหน้าฟื้นสัมพันธ์
TNN ช่อง16
31 สิงหาคม 2568 ( 16:14 )
24

ผู้นำอินเดียย้ำว่า นิวเดลียังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์กับปักกิ่ง บนพื้นฐานของ “ความเคารพ ความไว้วางใจ และความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน”

การพบกันครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่นายกรัฐมนตรีโมดีเดินทางเยือนจีน ซึ่งมีขึ้นหลังจากความสัมพันธ์ทวิภาคีต้องหยุดชะงักนานหลายปี เนื่องจากเหตุปะทะรุนแรงบริเวณพรมแดนเทือกเขาหิมาลัยในปี 2020 ที่ทำให้ทั้งสองประเทศต้องตรึงกำลังทหารในพื้นที่พิพาท และระงับความร่วมมือด้านอื่น ๆ แทบทั้งหมด

โมดีกล่าวว่า บัดนี้ได้เกิด “บรรยากาศแห่งสันติภาพและเสถียรภาพ” บริเวณพรมแดนแล้ว และทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันด้านการจัดการชายแดน แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระบุผ่านสื่อของรัฐจีนว่า “เราต้องไม่ปล่อยให้ปัญหาเรื่องพรมแดน กลายเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์โดยรวมระหว่างจีนและอินเดีย” และย้ำว่า หากทั้งสองประเทศมองกันในฐานะ “หุ้นส่วน” มากกว่าคู่แข่ง ความสัมพันธ์จีน–อินเดียก็จะ “มั่นคงและยั่งยืนได้ในระยะยาว”

การพบกันครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 5 วันหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียสูงสุดถึง 50% เพื่อตอบโต้การที่นิวเดลียังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้จีนและอินเดียต้องหันมาฟื้นฟูสัมพันธ์ในเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อรับมือแรงกดดันจากตะวันตก

ขณะเดียวกัน นายกฯ โมดีระบุว่า อินเดียกับจีนได้กลับมา “เริ่มเปิดเที่ยวบินตรงระหว่างกัน” อีกครั้ง หลังถูกระงับไปตั้งแต่ปี 2020

ในเดือนนี้ จีนยังได้ตกลงยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก ปุ๋ย และเครื่องเจาะอุโมงค์ให้กับอินเดีย ระหว่างการเยือนกรุงนิวเดลีของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้

เอกอัครราชทูตจีนประจำอินเดียเผยว่า จีนคัดค้านนโยบายภาษีของวอชิงตัน และ “จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างอินเดียอย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ แม้สหรัฐฯ จะพยายามสร้างความสัมพันธ์กับอินเดียในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยหวังให้อินเดีย “ถ่วงดุลจีนในภูมิภาค” แต่ในปัจจุบัน จีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย และช่องว่างการค้า (trade deficit) ระหว่างทั้งสองประเทศได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้ที่ 99,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 3.2 ล้านล้านบาท 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง