ไขข้อสงสัย! ทำไมต้องโยก LTF ไป ThaiESGX

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESG Extra Fund หรือ ThaiESGX) เปิดเสนอขาย IPO ตั้งแต่ 2 พ.ค. - 8 พ.ค. ที่ผ่านมาพบว่า มีเม็ดเงินเข้ามาไม่มากนัก ซึ่งคาดว่าการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากการกองทุน LTF ไป ThaiESGX ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย. 68 จะมีเงินเข้ามามากขึ้น โดยประเมินไว้ว่าเม็ดเงินเข้ามาในกองทุนเบื้องต้นประมาณ 10,000 ล้านบาท และหลังจากสิ้นสุดมิ.ย. จะประเมินอีกครั้งว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามามากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
Thai ESG Extra คืออะไร
Thai ESG Extra กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX คือกองทุนรวมกลุ่มใหม่ในหมวด “Thai ESG” เป็นกองทุนที่รองรับการสับเปลี่ยนเงินจากกองทุน LTF และเงินลงทุนใหม่ ภายในระยะเวลา 2 เดือน คือพฤษภาคม-มิถุนายน 2568 เพื่อรับสิทธิประโยชน์มาลดภาษีเพิ่มเติมและสนับสนุนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุนไทยในระยะยาว
ลงทุนในอะไรบ้าง
Thai ESGX จะใช้ตามหลักเกณฑ์เดียวกับ Thai ESG ซึ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV แต่ Thai ESGX จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของNAV ส่วนเงินลงทุนอื่นๆ เช่น เงินสด หรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 20% ของ NAV
ประเภทสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ต้องลงทุนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ประกอบด้วย
- หุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV
- ตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืน
- โทเคนดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ Thai ESG Extra
- สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESGX แบ่งวงเงินลดหย่อนออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
วงเงินลดหย่อนที่ 1 : สำหรับเงินลงทุนใหม่เฉพาะปี 2568
- ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท และไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
วงเงินลดหย่อนที่ 2 : สำหรับผู้ลงทุนที่สับเปลี่ยน LTF มา Thai ESGX
- ลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนต้องแจ้งย้ายกองทุนภายใน 2 เดือน หลังจากจัดตั้งกองทุน แต่ไม่เกินเดือน มิถุนายน 2568
- ปีแรก (ปี2568) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท
- ปีที่ 2-5 (ปี 2569-2572) ส่วนที่เหลืออีก 200,000 บาทที่เหลือ ทยอยใช้สิทธิได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท 4 ปี
- วงเงินลดหย่อนทั้งหมดของ Thai ESGX ในปี 2568 จะไม่ถูกนับรวมกับ Thai ESG เดิม แปลว่าหากใช้แบบเต็มสิทธิ เราจะสามารถลดหย่อนภาษีได้พิเศษเพิ่มขึ้นถึง 600,000 บาทในปีนี้ และทยอยลดหย่อนได้อีกในปีต่อๆ ไป หากยังมียอดลงทุนส่วนเกินใน LTF
กองทุน Thai ESG
- นโยบายการลงทุน: ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV
สิทธิประโยชน์ทางภาษี:
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท หรือไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน
- ระยะเวลาถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน
การโอน LTF เข้ากองทุน Thai ESGX ต้องทำอย่างไร
- ต้องโอนมาทั้งหมดจะโอนมาบางส่วนไม่ได้ และต้องมีชื่อปรากฎในวันที่ 12 มี.ค. 68 ว่าถือ LTF และไม่มีการขายออกมาเลย หลังจากวันที่ 12 มี.ค.68
ข้อกำหนดตามกฎหมายและเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- การโอนจาก LTF ไปกองทุน Thai ESGX เป็น “มาตรการต่อเนื่อง” ของภาครัฐที่ออกมา เพื่อจูงใจให้นักลงทุนคงเงินลงทุนในระยะยาวต่อ
- เพื่อ รักษาสิทธิการไม่เสียภาษีจากการขายคืน LTF เดิม กฎหมายกำหนดว่า ต้องโอนหน่วยลงทุนทั้งหมดของ LTF ที่ครบกำหนดแล้ว ไปยังกองทุน ESG ตามที่กำหนด (เช่น Thai ESGX) ภายในระยะเวลาที่กำหนด"
- หากโอนเพียง “บางส่วน”จะถือว่า ไม่ได้เข้าเงื่อนไขของโครงการต่อเนื่อง
- ส่วนที่ไม่ได้โอนอาจถูกตีความว่า “ขายคืน” และต้อง นำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามเกณฑ์เดิม
- นอกจากนี้ระบบของ บลจ. ส่วนใหญ่ถูกตั้งค่าให้รองรับเฉพาะการ โอนแบบเต็มจำนวน ตามข้อกำหนดของมาตรการ และทำให้เกิดความชัดเจนในการตรวจสอบย้อนหลัง หากสรรพากรตรวจสอบในอนาคต
คนที่ถือ LTF อยู่จำเป็นต้องสับเปลี่ยนไป Thai ESGX ทุกคนไหม
- ไม่ได้บังคับ แล้วแต่ความสมัครใจของนักลงทุน แต่หลังจากหมดช่วงสับเปลี่ยน LTF จะถูกเปลี่ยนเป็นกองทุนผสม โดยมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทย ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV และจะเปิดขายให้เหมือนกองทุนรวมทั่วไปแทน
หากสับเปลี่ยน LTF มา Thai ESGX ทั้งหมด แล้ว LTF ส่วนเกินจาก 500,000 บาท จะต้องทำอย่างไร
- ส่วนที่เกิน 500,000 บาท จะไม่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี แต่ยังต้องถือไว้ครบ 5 ปีเหมือนเดิม ตั้งแต่วันที่แจ้งสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
ถ้าขาย LTF ไปก่อนหน้านี้แล้ว จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือไม่
- หากเกิดธุรกรรม ขาย หรือ สับเปลี่ยน LTF หลัง 12 มีนาคม 2568 จะไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากวงเงินโอน LTF เข้า Thai ESGX ได้ แต่ยังคงมีสิทธิซื้อ Thai ESGX ใหม่ในวงเงิน 300,000 บาท
สามารถสับเปลี่ยน LTF ไป Thai ESGX ข้าม บลจ. ได้หรือไม่
- ไม่ได้ เนื่องจากการโอนหน่วยลงทุน LTF ไปยังกองทุน ESGX เป็น “การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนภายใน บลจ. เดียวกัน” เท่านั้น
- ไม่ใช่การขายแล้วซื้อใหม่ (ซึ่งจะกระทบสิทธิทางภาษี)
- กฎหมายและมาตรการภาษีของรัฐกำหนดไว้ชัดเจนว่า การโอน LTF ไปกองทุน ESG จะต้องทำภายใน “บลจ. เดิม” เพื่อคงสิทธิยกเว้นภาษี
ถ้าคุณต้องการลงทุนใน Thai ESGX ของ บลจ. อื่น
- จะต้อง ขายคืน LTF เดิมก่อน (ซึ่งหากยังไม่ครบกำหนด อาจเสียภาษีย้อนหลัง)แล้ว นำเงินไปซื้อ Thai ESGX ที่ต้องการใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนคนละรอบ และจะ ไม่ได้รับสิทธิเลื่อนภาษี จาก LTF เดิม
ผู้ที่ขาย LTF ออกไปแล้วทั้งหมด หรือไม่เคยมี LTF มาก่อน
- ซื้อ Thai ESGX เพิ่ม ช่วง พ.ค. – มิ.ย.ในช่วงเวลาที่กำหนด ( พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568) นักลงทุนสามารถ “ซื้อเพิ่ม” ใน Thai ESGX เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนอีก 300,000 บาท (ตามเงื่อนไข 30% ของรายได้เช่นกัน)
- กรณีที่ลูกค้าลงทุนเงินใหม่และโอนเงินจาก LTF เดิม จะสามารถรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีปี 2568 จากกองทุน Thai ESGX ได้สูงสุด 600,000 บาท
ตรวจสอบยอด LTF ที่สามารถสับเปลี่ยน ได้จากที่ใดบ้าง
- เว็บไซต์: https://www.set.or.th/ltf
- วิธีการใช้งาน สมัครสมาชิก SET Member: https://member.set.or.th/set-member/registration
- ลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านแอป ThaID: ดาวน์โหลดแอป ThaID จาก Google Play หรือ App Store
- เข้าสู่ระบบ: ใช้บัญชี SET Member และยืนยันตัวตนผ่าน ThaID
- ตรวจสอบได้ที่ บลจ. และตัวแทนขายหน่วยลงทุนที่ท่านเคยใช้บริการลงทุน เพื่อ ตรวจสอบจำนวนหน่วยลงทุน LTF ที่ถือครอง
ใครควรโอน LTF ไป ThaiESGX
1.ฐานภาษียิ่งสูง ยิ่งควรโอน
- คนฐานภาษีสูง >> เช่น 25-35% หรือมีเงินเดือนประมาณ 130,000–460,000 บาทขึ้นไป การโอนเงินจาก LTF เดิมไป ThaiESGX จะช่วยให้ได้เงินคืนภาษีเฉลี่ยประมาณปีละ 5%-7% ของเงินที่โอนไป ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะแค่ถือกองทุนต่อ 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเงินใหม่เพิ่มเลย แม้ในกรณีที่มีเงินลงทุน LTF มากกว่า 500,000 บาท เช่น 1 ล้านบาท ซึ่งเกินเพดานลดหย่อนสิทธิใหม่ แต่ส่วนที่ใช้สิทธิได้ (500,000 บาทแรก) ก็ยังทำให้ได้รับเงินคืนภาษีเฉลี่ยปีละ 2.5-3.5% ของมูลค่า LTF ทั้งก้อน ดังนั้นก็ยังถือว่าคุ้มในการถือต่อ 5 ปี เช่นกัน
- คนฐานภาษีน้อย >> เช่น 10% หรือเงินเดือนประมาณ 40,000 – 55,000 บาท เงินคืนภาษีที่ได้รับไม่สูงมาก ประมาณ 10% ของมูลค่า LTF ที่ถือ หรือเฉลี่ยปีละ 2% และหากลงทุนตั้งแต่ปีแรกๆ ที่มี LTF โดยไม่เคยขายคืนเลย จนมี LTF สะสมมูลค่าสูง เช่น 1 ล้านบาท เงินคืนภาษีที่ได้ จะอยู่ที่เพียง 5% ของมูลค่า LTF (= เงินคืนภาษี 50,000 ÷ มูลค่า LTF 1 ลบ.) หรือเฉลี่ยปีละ 1% เท่านั้น สำหรับคนกลุ่มนี้ การขายคืน LTF และนำเงินไปลงทุนทางเลือกอื่น อาจมีความน่าสนใจมากกว่า
2.อายุยิ่งน้อย ยิ่งควรโอน
ทางเลือกลดหย่อนภาษี นอกจากกองทุน ThaiESGX กองทุน ThaiESG และประกันชีวิตแล้ว หลักๆ จะเป็นกองทุน RMF ที่ต้องถือและลงทุนต่อเนื่องทุกปีจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ดังนั้นกรณีที่
- อายุน้อยกว่า 50 ปี >> เช่น อายุ 30 ปี RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องและถือไปอีกอย่างน้อย 25 ปี ดังนั้น ThaiESGX ที่ลงทุนเพียง 5 ปี จึงน่าสนใจมากกว่า เพราะระยะเวลาการลงทุนสั้นกว่าลงทุนใน RMF ถึง 5 เท่า
- อายุมากกว่า 50 ปี >> เช่น อายุ 53 ปี การลงทุนใน RMF อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ ThaiESGX ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็ม หรือจนถึงอายุประมาณ 58 ปี ส่วน RMF หากเคยลงทุนต่อเนื่องมาก่อนหน้าแล้ว อาจเหลือลงทุนต่ออีกเพียง 2-3 ปี (ต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปีขึ้นไปด้วย) จนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ ก็สามารถขายคืน RMF ได้ อีกทั้ง RMF ยังมีกองทุนตราสารหนี้ ให้เลือกลงทุน เช่น K-SFRMF ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เหมาะกับการถือลงทุนระยะสั้นถึงระยะกลาง เพื่อเน้นรักษาเงินต้นส่วนใหญ่ ให้พร้อมใช้ในวัยเกษียณในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
3.ยอมรับความเสี่ยงได้สูง ควรพิจารณาโอน
4.ThaiESGX เน้นลงทุนหุ้นไทย ทำให้เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง หรืออย่างน้อยควรรับความเสี่ยงได้บ้างแล้วเลือกกองทุนที่จำกัดสัดส่วนหุ้นไทยที่ 70%
หันมาดูผลิตภัณฑ์ที่บลจ.คัดสรรให้กับลูกค้าได้เลือกสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ไป Thai ESGX ช่วงวันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย.68 นั้น มีให้เลือกหลากหลายขึ้นกับความต้องการของลูกค้า เพราะแต่ละกองทุนลดหย่อนภาษีจะมีกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น ลงทุนได้เท่าไหร่ ต้องถือนานแค่ไหน ต้องลงทุนต่อเนื่องกันทุกปีหรือไม่ จึงควรทำความเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
บลจ.กสิกรไทยแนะนำ
- K-70ThaiESGX กองทุนลงทุนในหุ้น 70% และตราสารหนี้ Green Bond อีก 30% โดยเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลสูง
- K-HDThaiESGX กองทุนลงทุนในหุ้น 100% โดยเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลสูง
บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) มีให้เลือก 4 กองทุน
- กองทุน SCBT70X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมผสมที่ลงทุนเชิงรุก บาลานซ์การลงทุนกับหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG มีสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยที่ไม่เกิน 70%
- กองทุน SCBTAPX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทย ESG และกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นต่างประเทศที่มีนโยบายตามเกณฑ์ ESG ไม่เกิน 20%
- กองทุน SCBTAX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยที่โดดเด่นด้าน ESG และมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่า 80%
- กองทุน SCBTS100X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยตามดัชนี SET100 Free Float ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย
บลจ.กรุงไทย KTAM ส่ง 3 กองทุน
– กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQ70PLUSX) (ระดับความเสี่ยง 5) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV และตราสารหนี้ ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกินกว่า 30% ของ NAV โดยผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณานำเงินบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ ปานกลางค่อนข้างสูง และผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังตราสารหนี้
– กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQPLUSX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
– กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นปันผล ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQDIVX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีปัจจัยพื้นฐาน ผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดี สม่ำเสมอ และ/หรือ มีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยจะเน้นลงทุนในประเทศเท่านั้น เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยในกลุ่ม ESG ที่ประวัติการจ่ายปันผลที่ดี
บลจ.เกียรตินาคินภัทร
- ชูกองทุนเปิดเคเคพี บาลานซ์ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KKP BL THAI ESGX)
- เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ไทยกลุ่มความยั่งยืน เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนระยาวพร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี
บลจ.กรุงศรีมีให้เลือก 3 กองทุน
- KF70-THAIESGX: กองทุนเปิดกรุงศรี 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ กองทุนผสม
- ลดความผันผวนด้วยการกระจายความเสี่ยงในตราสารหนี้ประมาณ 30%และลงทุนเชิงรุกในหุ้นไทย
- หุ้นไทยเชิงรุก 70%
- KFS50-THAIESGX กองทุนเปิดกรุงศรี SET50 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ กองทุนหุ้น แบบ Passive ลงทุนเชิงรับ เพื่อโอกาสเติบโตที่สอดคล้องกับหุ้นใหญ่ในตลาด และยังคงให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ลงทุนหุ้นไทยเชิงรับ 100%
- KFAEQ-THAIESGX กองทุนหุ้น แบบ Active ลงทุนเชิงรุกในหุ้นไทยเสริมโอกาสสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงด้วย หุ้นต่างประเทศ หุ้นทั่วโลกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 15% หันไทยเชิงรุกมากกว่าหรือเท่ากับ 80%
ก่อนการลงทุน ควรวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกองทุน เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลเชิงลึก ตัวชี้วัดสำคัญคือ ผลตอบแทน ความผันผวน และค่าใช้จ่าย สำคัญผลตอบแทนแสดงนั้นคือประสิทธิภาพที่ทำได้ในอดีต แต่ไม่ใช่การรับประกันในอนาคต ความผันผวนบ่งบอกความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นไปได้ ค่าใช้จ่ายสูงอาจลดผลตอบแทนในระยะยาว...