โบรกเกอร์ ปรับมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ ขานรับมาตรการธปท. เลือก KBANK, TISCO , BBL เป็นหุ้นเด่น
ข่าววันนี้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารไทย และคาดว่าสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและจำนวนการติดเชื้อต่อวันที่ลดลงจะทำให้กลุ่มธนาคารมีผลงานดีขึ้นในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า
หุ้นเด่นของเราคือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ราคาเป้าหมาย160 บาท (ROE ปี 64 ที่ 9.1%, P/BV 0.8 เท่า) และ ธนาคาร TISCO ราคาเป้าหมาย 110 บาท (ROE ปี 64 ที่ 17.7%, P/BV 2.1 เท่า)
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ KBANK หลังราคาหุ้นร่วง 14% QTD จากประเด็นการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและการหลุดจากดัชนี MSCI เราชอบ TISCO ในแง่ความสามารถในการทำกำไรสูง งบดุลที่มั่นคง และอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ดี
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ขยายเวลามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้SME ไปสิ้นสุด ธ.ค.64 จากเดิม มิ.ย. 64 โดยให้ธนาคารปรับโครงสร้างสินเชื่อ SME เพื่อรองรับกระแสเงินสดของลูกค้า นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ธนาคารจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ แต่อัตราการจ่ายถูกจำกัดไว้ที่ระดับปี 2563 และ 50% ของกำไรในครึ่งปีแรก นอกจากนี้ยังพิจารณาด้วยว่าจะขยายค่าธรรมเนียม FIDF ที่ลดลง 0.23% หรือไม่ ซึ่งจะหมดอายุภายในสิ้นปีนี้
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มีมุมมองบวกต่อการประกาศของ ธปท. มีมุมมองบวกเล็กน้อยกับข่าวที่ว่าธนาคารต่างๆ สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ในปีนี้ เนื่องจากสะท้อนเป็นนัยว่าธนาคารไทยมีระดับเงินทุนที่แข็งแกร่ง สามารถรองรับผลกระทบของโรคระบาดได้
คาดการดำเนินงานทยอยดีขึ้นจากปี 65 เป็นต้นไป โดยได้รับแรงหนุนจากการฉีดวัคซีนและการเปิดประเทศ โดยในไตรมาส 2/64 เราคาดว่า NIM ของภาคธุรกิจจะปรับตัวลดลงเนื่องจากลูกค้าอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างใหม่โดยมีระยะเวลาการชำระเงินนานขึ้นและค่างวดรายเดือนที่ลดลง ดอกเบี้ยค้างรับน่าจะเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากสัดส่วนเงินกู้ภายใต้โครงการบรรเทาหนี้ที่สูงขึ้น ในแง่บวกเราคาดว่าธนาคารจะบันทึกกำไรจากการลงทุนเพื่อชดเชยกับแนวโน้มรายได้ที่อ่อนแอในไตรมาส 2/64
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์ว่า การที่ธปท. เปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend payout ratio) ไม่เกินปี 2563 และ 50% ของกำไรสุทธิงวด 1H64 ส่วนอัตราการจ่ายเงินปันผลประจำปี ธปท. จะพิจารณาอีกครั้งช่วง 4Q64
ภาพรวมมองว่าช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และสร้างความน่าสนใจด้านเงินปันผลให้กับกลุ่มฯ แม้แม้หากพิจารณาการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2562 พบว่าน้ำหนักของเงินปันผลจะอยู่ในช่วง 2H จึงคาดในกรณีที่ ธนาคารพาณิชย์ มีการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล Div yield เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1% แต่ยังจูงใจเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี (Yield ราว 0.5%) โดย ธ.พ. ที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล มีโอกาสได้รับ Sentiment เชิงบวก นำโดย KKP, SCB, BBL, KBANK และ BAY
ขณะที่ มาตรการอื่นที่ประกาศ ได้แก่ การขยายระยะเวลาชะลอการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ SME จากเดิมสิ้นสุด 30 มิ.ย. 64 ไปจนถึงสิ้นปี 2564 ให้กับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการะบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 เปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์ อย่าง KBANK ที่มีพอร์ตสินเชื่อ SME มากสุดในกลุ่มฯ ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้มากขึ้น ช่วงสั้นช่วยชะลอการไหลตกชั้นของลูกหนี้เป็น NPL(Stage 3) และ Stage 2 ของกลุ่มฯ ส่วนระยะยาวยังต้องตามดูกันไป
นอกจากนี้ ธปท. อยู่ระหว่างขยายระยะเวลาลดเงินนำส่งกองทุน FIDF จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2564 ในกรณีที่ขยายระยะเวลา ผลต่อประมาณการไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากการลดเงินนำส่ง FIDF เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นำไปลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าอยู่แล้ว
ให้น้ำหนักการลงทุน เท่าตลาด คาดหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลและตลาดเชื่อว่าให้ Yield สูงอย่าง KKP(FV@B59) น่าจะได้รับความสนใจจากตลาด โดยปรับเพิ่มคำแนะนำ SCB(FV@B115) จาก Switch เป็น ซื้อเก็งกำไร ตาม Sentiment เงินปันผล ส่วน Top pick กลุ่มฯ ฝ่ายวิจัยเลือก KBANK(FV@B155) สำหรับการ Recovery ของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ในทางพื้นฐานชอบ TISCO(FV@B102) และ BBL(FV@B154)