รีเซต

เทศกาลกินเจ 2568 คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 45,900 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี

เทศกาลกินเจ 2568 คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 45,900 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี
TNN ช่อง16
16 ตุลาคม 2568 ( 15:01 )
15

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำโพลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลกินเจประจำปี 2568 คาดว่า จะมีเงินสะพัดกว่า 45,903 ล้านบาท ขยายตัว 2% โดยกลุ่มตัวอย่าง 34% ตั้งใจที่จะกินเจในช่วงเทศกาล เนื่องจากตั้งใจจะทำบุญ และยังมีอาหารเจให้กินฟรีที่โรงเจด้วย ส่วนที่เหลือ 66% ไม่ทานเจ เพราะไม่ได้มีเชื้อสายจีน และ อาหารเจราคาแพง

ซึ่ง 65.6% ตั้งใจจะกินเจตลอดเทศกาล รวม 9 วัน ส่วนราคาอาหารและวัตถุดิบในการปรุงอาหารเจบีนี้คาดว่าจะแพงขึ้นจากปีก่อนหน้า ทำให้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คาดว่า จะใช้จ่ายทั้งในแง่ ปริมาณของกินของใช้สำหรับกินเจ และมูลค่า จะใกล้เคียงเดิม เฉลี่ยคนละ 5,211 บาท ส่งผลให้ค่าใช้จ่าย โดยรวมในช่วงเทศกาลกินเจปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 45,903 ล้านบาท ขยายตัว 2%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ย้ำว่า แม้มูลค่าการใช้จ่ายโดยรวมในช่วงเทศกาลกินเจ จะสูงสุดในรอบ 5 ปี แต่การขยายตัวเพียง 2% จากปีก่อน ถือว่ายังไม่โดดเด่นมากนัก สะท้อนประชาชนยังระมัดระวังการใช้จ่าย ประกอบกับโครงการคนละครึ่ง ยังไม่เริ่มใช้ในช่วงเทศกาลกินเจ

ผู้ประกอบการ 680 กลุ่มตัวอย่าง ทั้ง ผู้จำหน่ายอาหาร ร้านขายผัก-ผลไม้ ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาเก็ต รวมถึงกลุ่มผู้ขายของเจ ส่วนใหญ่ 58.4% บอกว่า จะเข้าร่วม โครงการคนละครึ่งพลัส เพราะจะทำให้ค้าขายได้ดีขึ้น แม้อาจจะกังวลว่าจะได้รับเงินช้าบ้าง อีก 22.4% บอกว่าจะไม่เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากมีความกังวลเรื่องภาษี และกังวลว่าเงินจะไม่เข้าเนื่องจากระบบมีปัญหา รวมถึงกระบวนการเข้าร่วมโครงการที่ยุ่งยาก ส่วนที่เหลืออีก 19.2% ยังไม่แน่ใจว่า จะเข้าร่วมโครงการหรือไม่


ทั้งนี้ มั่นใจว่า มาตรการคนละครึ่งพลัส จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แม้ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยประเมินว่า กลุ่มเป้าหมายทั้งผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 11 ล้านคน และผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีอีก 9 ล้านคน รวม 20 ล้านคน นั้น ใช้งบประมาณ 44,400 ล้านบาท คาดว่า จะสร้างค่าการใช้จ่ายรวมได้ 59,080 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.32% ส่วนกลุ่ม ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรวม 13.4 ล้าน จะได้รับเงิน คนละ 1,700 บาท ใช้งบประมาณ และ มูลค่าใช้จ่ายประมาณ 22,780 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.12%

ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ 82.1% มั่นใจว่าได้รับสิทธิ์แน่นอน และเตรียมจะใช้ทันทีที่ได้รับสิทธิ์ในเดือนตุลาคม และจะใช้เต็มจำนวนต่อวันที่ 400 บาท โดยสัดส่วนการใช้ จะเน้นหนักไปที่สินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งอาหาร-เสื้อผ้า / และเครื่องดื่ม รวมถึง ของใช้ส่วนตัว

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ประเมินว่า เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจะถูกใช้จ่าย ทั้งคนละครึ่งพลัส กว่า 88,000 ล้านบาท กับ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่างน้อย 22,000 ล้านบาท รวมกับมาตรการเสริมทางการท่องเที่ยว ผ่านการลดหย่อนภาษี และส่งเสริมหน่วยงานรัฐ จัดการสัมมนาในต่างพื้นที่ คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายได้อีก 0.5-0.8% หรือ ภาพรวมในไตรมาสที่ 4 จะขยายตัวได้ 0.8-1.1% จากเดิมคาดว่าจะโตเพียง 0.3% ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ โตเกิน 2 % ได้ หรือ ในกรอบ 2-2.2%

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง