เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ฟื้นตัวระยะสั้นขึ้นทดสอบ 1,580-1,585 จุด ตาม Sentiment บวกจากต่างประเทศ แม้ภาพใหญ่ยังคงไม่มีปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามากระตุ้นตลาด แต่เริ่มเกิดการ Rebound หลังปรับลงแรงในช่วง 1 เดือนก่อนหน้า ล่าสุดจีน Delay การประกาศ GDP 3Q22 ซึ่งเริ่มทำให้ตลาดกังวลถึงตัวเลขที่น่าจะออกมาแย่
ส่วนโฟกัสของตลาดระยะนี้คาดอยู่ที่การทยอยประกาศผลประกอบการ 3Q22 ของบริษัทจดทะเบียน โดยของไทยสัปดาห์นี้เริ่มที่กลุ่มธนาคาร และตามด้วยคาดการณ์ฝั่ง Real Sector ที่จะออกมามากขึ้น ซึ่งภาพรวมเรามองไม่น่าตื่นเต้นเนื่องจากเป็นฤดูฝนซึ่งเป็น Low Season อย่างไรก็ตามเรายังมองบวกทิศทางกำไรกลุ่ม Domestic และ Reopening Play ใน 4Q22 ที่กลับเข้า High Season ของทั้งภาคการท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงปี 2023 ที่เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มเร่งตัวสวนทางฝั่งตะวันตกที่มีความเสี่ยงเกิด Recession
กลยุทธ์ : Selective Play // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่ม
หุ้นเด่นเดือนต.ค. : BBL, BDMS, CK, CPALL, TU
หุ้นเด่นวันนี้ : AAV
• แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 3.40 บาท
• ผลการดำเนินงาน 2H22 คาดฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญตามการเปิดประเทศทั้งไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออก คาดสามารถเพิ่มเที่ยวบินต่างประเทศเป็น 50% เทียบกับก่อน COVID-19 ได้ภายในสิ้นปีนี้
• คาดปี 2022 จะขาดทุนเป็นปีสุดท้ายก่อนพลิกกำไรในปี 2023 ที่ 1.2 พันลบ. ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว Catalyst บวกคือโอกาสที่จีนจะเริ่มเปิดประเทศปีหน้า
• แนวรับ 2.90-2.80 บาท แนวต้าน 3.10 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ ยังคงผันผวนตลาดต่างประเทศยังมีตัวแปรที่กดดัน (Fed+รัสเซีย) ของไทยเข้าสู่ช่วงรายงายงบกลุ่มธนาคาร ทั้งนี้ นักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่า Fed จะมีการขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75% ในการประชุม FOMC อีก 2 ครั้งสุดท้ายคือ 2 พ.ย. และ 14 ธ.ค. หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด เรื่องนี้จะเข้ามารบกวนตลาดเป็นระยะ เรามองว่าควรจะระวังหุ้นกลุ่ม Commodity เพราะ Recession ยังไม่ได้หายไปจากตลาด
การยกเลิกแผนเก็บภาษีของอังกฤษ เข้ามาช่วยหนุนตลาดในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
Dollar เริ่มปรับตัวลง เป็นตัวช่วยของตลาด เพราะถูกมองว่าความเสี่ยงของตลาดลดลง ล่าสุด Dollar Index อยู่ที่ 112 จุด ขณะที่เงินบาทยังคงอ่อนค่าที่ 38 บาท/ดอลลาร์ นักลงทุนต่างชาติยัง Net Sell หุ้นไทย วานนี้ 2.6 พันล้านบาท
วันนี้ประชุมผู้ถือหุ้น JASIF เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ JAS ดำเนินการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวม และการขายหุ้นสามัญใน TTTBB ให้แก่ AWN (ADVANC)
หุ้นขึ้น XD วันนี้ ได้แก่ AEONTS (@2.55) และหุ้นเพิ่มทุน JKN, PPPM, SDC, UREKA เริ่มทำการซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ เงินเฟ้อของจีน ยอดขายรถยนต์ของไทย และการประชุม ครม.
Strategy
• ตลาดมี rebound แต่ตัวแปรสำคัญของตลาด คือ จุด peak ของดอกเบี้ยสหรัฐฯ และสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และจีน-ไต้หวัน ยังไม่ได้ดีขึ้น ทำให้กลยุทธ์ลงทุน ยังเป็น trading รอบสั้นๆไปก่อน
• หุ้นกลุ่มที่อิงกับทิศทางเศรษฐกิจโลก (Recession) ที่ยังต้องซื้อขายด้วยความระมัดระวัง คือ กลุ่มส่งออก (อีเล็คทรอนิคส์ และ Commodity)
• กลุ่มการเงิน (non-bank) ที่เน้นปล่อยกู้รายย่อยและเช่าซื้อรถ ยังคงถูกกระทบจากทั้งกฎเกณฑ์ของทางการและดอกเบี้ยในตลาดที่จะสูงขึ้น เป็นลบต่อผลการดำเนินงานในอนาคตของหุ้นเหล่านี้
• หุ้นที่ราคาลงมาลึก อาจมีการเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้น วันนี้ เราชอบ CPALL, BEC, WICE
• พอร์ตหุ้นวันนี้เรานำหุ้น BEC เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย BEC(10%), GLOBAL(10%), CBG(10%), EA*(10%), CPN(10%), BRR*(10%).
Strategy Stock Pick
BEC: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 10.40 บาท) “ทยอยเก็บหุ้นลงลึก+Downside จำกัด”
•แนะนำทยอยซื้อสะสม คาด Downside เริ่มจำกัดหลังการปรับฐานมายาวนานกว่า 7 เดือน หรือ -46% จากจุดสูงสุดของปี สะท้อนความเสี่ยงต่างๆไปพอสมควรแล้ว
•ปรับผังรายการ ใน 2H22 เพื่อดัน U-Rate ตั้งเป้า U-Rate ใน 2H22 ที่ 80% จาก 1H22 ที่ 67.7% ลูกค้าสำคัญกลุ่มรถยนต์เริ่มใช้จ่ายเงินโฆษณาใน Platform ต่างๆ คาดปี 2023 ฟื้นชัดเจน
•DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 ที่ 788 ลบ. และ 968 ลบ. +3.4%YoY, +23%YoY ตามลำดับ
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมิน SET Index ฟื้นตัวขึ้นต่อในกรอบ 1,550-1,590 จุด นักลงทุนรอการรายงานผลประกอบการ 3Q65 ของกลุ่มธนาคารที่จะเริ่มทยอยออกมา แนะนำ Selective Buy กลุ่มธนาคาร BBL*, KBANK* กลุ่มเปิดประเทศ CENTEL*, ERW*, VRANDA*, AAV, BA* กลุ่มค้าปลีก CPALL*, MAKRO*, CRC
ASIAN* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 21.80 บาท) ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าเพราะมีรายได้หลักจากการส่งออก แนวโน้มผลประกอบการ 2H65 ยังมีปัจจัยหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงตามกระแส Pet Boom โดยจะได้กำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงใหม่เข้ามาใน 3Q65 ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่าจึงเป็นบวกต่อ GPM ส่วนแนวโน้มรายได้ปี 65 บริษัทตั้งเป้าเติบโตได้ต่อเนื่องราว 19% อยู่ที่ 1.12 หมื่นล้านบาท และ GPM ที่ 17-18% นอกจากนี้บริษัทมีแผนนำบริษัทลูก AAI เข้าตลาด และนำเงินจากการระดมทุนไปขยายโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงแห่งที่ 2 เพิ่มกำลังผลิตเท่าตัว
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 22.40 บาท) ยังมีความน่าสนใจจากการจะนำ ITC เข้าตลาด(Pre-emptive Right ในอัตราส่วนประมาณ 35.2662 หุ้นสามัญของTU ต่อ 1 หุ้นสามัญของ ITC โดยจะขึ้น XB วันที่ 31 ต.ค.65) ด้านกำไรสุทธิ 3Q65 เราคาดที่ 2,003 ลบ.(+3.42%YoY, +23.36%QoQ) ปัจจัยหนุนหลักยังจะมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง การปรับขึ้นราคาขาย และเงินบาทที่อ่อนค่า ขณะที่ เราคาดว่า ปัจจัยกดดันในแง่ของต้นทุนจากราคาปลาทูน่าจะผ่อนคลายลง รวมถึง ค่าใช้จ่ายในด้านการขนส่งที่มีเสถียรภาพมากขึ้น จะช่วยหนุน NPM โดยรวมและการดำเนินการปกติ