รีเซต

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายเยียวยาโควิดชาวอเมริกัน แจกเงินคนละ 4.3 หมื่นบาท

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายเยียวยาโควิดชาวอเมริกัน แจกเงินคนละ 4.3 หมื่นบาท
TNN ช่อง16
11 มีนาคม 2564 ( 11:15 )
108
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายเยียวยาโควิดชาวอเมริกัน แจกเงินคนละ 4.3 หมื่นบาท

วันนี้ (11 มี.ค.64) นับว่าเป็นชัยชนะครั้งสำคัญครั้งแรกของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วเกือบ 5.3 ล้านคน

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ไฟเขียว ผ่านร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยมติเห็นชอบ 220 ต่อ 211 เสียง โดยไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกันเลยแม้แต่คนเดียว  

พรรครีพับลิกันมองว่า มาตรการเยียวยานี้ใช้งบประมาณที่สูงเกินไป เพราะก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีการอนุมัติ 9 แสนล้านดอลลาร์ และตอนนี้ประเทศได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตที่หนักที่สุดในรอบ 100 ปีไปแล้ว  และกำลังมุ่งสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ ส.ส.เดโมแครตก็มีแตกแถวอยู่หนึ่งคน คือ จาเรด โกลเดน ส.ส.จากรัฐเมน ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า งบประมาณค่อนข้างสูง เป็นอันตรายต่อการฟื้นตัวทางเศรฐกิจ

แต่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาล่าง 221 ต่อ 211 เสียง จึงสามารถผ่านร่างกฎหมายนี้ได้ในที่สุด

การผ่านร่างกฎหมายเยียวยาโควิด-19 ในสภาล่างมีขึ้น หลังจากทั้งสภาอภิปรายและต่อรองกันมาหลายสัปดาห์ 

แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ระบุว่า แผนการช่วยเหลือชาวอเมริกัน เป็นพลังเพื่อความเป็นธรรมและยุติธรรมในสหรัฐฯ 

ขั้นตอนต่อไป คือ ประธานาธิบดีไบเดน จะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย ก่อนวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานในปัจจุบันจะสิ้นสุดลง คาดว่าน่าจะลงนามในวันที่ 12 มีนาคมนี้

เงินมหาศาลแบ่งไปใช้ด้านใดบ้าง

งบประมาณมหาศาลนี้ จะแบ่งเป็นเงิน 400,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือโดยตรงแก่ชาวอเมริกัน ส่วนใหญ่ คนละ 1,400 ดอลลาร์ หรือประมาณ 43,000 บาท  

ผู้ที่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยานี้ ต้องเป็นบุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2.4 ล้านบาทต่อปี

-    355,000 ล้านดอลลาร์ เป็นงบช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่นของรัฐต่างๆ  

-    ขยายเวลาให้เงินช่วยเหลือผู้ตกงานอีกสัปดาห์ละ 300 ดอลลาร์ หรือ 10,000 บาท ไปถึงเดือนกันยายน  130,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับเปิดการเรียนการสอนในโรงเรียนอีกครั้ง

-    49,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการทดสอบและวิจัย Covid-19

-    14,000 ล้านดอลลาร์ สนับสนุนโครงการแจกจ่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19

นอกจากนี้ยังจะลดภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร และช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิดด้วย

ชาวอเมริกันถูกใจร่างกฎหมายนี้

ร่างกฎหมายนี้ ถูกใจชาวอเมริกันไม่น้อย ผลสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศที่จัดทำโดยรอยเตอร์สและอิปซอส ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่า ชาวอเมริกัน 70% สนับสนุนมาตรการนี้ ในจำนวนนี้มีทั้งชาวเดโมแครตและรีพับลิกัน โดยมีชาวริพับลิกัน 5 จาก 10 คน สนับสนุนร่างกฎหมายนี้ และชาวเดโมแครตสนับสนุน 9 ใน 10 คน

ขณะที่ ผลสำรวจ Pew Research Center ระบุว่า ชาวอเมริกัน 70% สนับสนุนร่างกฎหมายนี้ และในจำนวนนี้เป็นชาวรีพับลิกัน 41% 

แอนโทนี เซอร์เชอร์ นักวิเคราะห์จากบีบีซี ระบุว่า นี่ชัยชนะครั้งสำคัญครั้งแรกของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการบริหารประเทศ  หากคณะทำงานของเขา

สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐฯ

-    ชาวอเมริกันมากกว่า 32 ล้านคนได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่ต้องฉีด 2 โดส ของไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือวัคซีนที่ฉีดเพียงโดสเดียวอย่างจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

-    รัฐอะแลสกา เป็นรัฐแรกของสหรัฐฯ ที่เริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป

-    เท็กซัสยกเลิกคำสั่งบังคับใส่หน้ากากอนามัย จำกัดการทำธุรกิจทั่วทั้งรัฐ กลายเป็นรัฐที่สองของประเทศที่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ต่อจากรัฐมิสซิสซิปปี้

-    ประธานาธิบดีไบเดน ประกาศสั่งซื้อวัคซีนต้านโควิดของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เพิ่มอีก 100 ล้านโดส จากก่อนหน้านี้ที่สั่งซื้อไปแล้ว 100 ล้านโดส  เมื่อรวมคำสั่งซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์ กับโมเดอร์นาก่อนหน้านี้บริษัทละ 300 ล้านโดส จะทำให้สหรัฐฯ มีวัคซีนตุนไว้ทั้งหมด 800 ล้านโดส สำหรับประชากร 300 ล้านคน

นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังประกาศชัดเจนว่า จะแบ่งวัคซีนให้กับประเทศอี่นๆ ด้วย แต่ต้องหลังจากฉีดให้ชาวอเมริกันครบทุกคนก่อน  

นายไบเดน เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้ตกลงสนับสนุนเงินทุน 4,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่โครงการแจกจ่ายวัคซีน COVAX ขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ไปแล้ว ที่มีจุดประสงค์เพื่อแจกจ่ายวัคซีนต้านโควิดอย่างเท่าเทียมไปให้ถึงประเทศกำลังพัฒนา

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทาง Johnson & Johnson กำลังมีปัญหาในการผลิตวัคซีนช้า และส่งมอบวัคซีนให้แก่สหรัฐฯ ไปได้เพียง 4 ล้านโดสเท่านั้น จากจำนวน 20 ล้านโดส ที่ทางบริษัทต้องส่งมอบให้แก่สหรัฐฯ ภายในเดือนมีนาคมนี้ จึงต้องจับมือกับคู่แข่งอย่างบริษัท Merck ซึ่งปกติแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก และอีกบริษัทหนึ่งคือ Emergent BioSolutions เพื่อเร่งผลิตวัคซีนของ Johnson & Johnson ให้ครบ 100 ล้านโดส ตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งซื้อไว้ และให้ทันกำหนดส่งมอบ ภายในเดือนมิถุนายนนี้




ข่าวที่เกี่ยวข้อง