SAPPEสินค้าใหม่โกยยอด บาทอ่อนดันส่งออกโตแรง

นายชินวิทย์ เลิศบรรณพงษ์ นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า สำหรับค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าในขณะนี้ก็เป็นผลต่อภาพรวมธุรกิจ เพราะบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 70% แต่ทั้งนี้บริษัทก็อาจจะได้รับผลกระทบในส่วนของวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง ดังนั้นการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าก็สามารถเข้ามาช่วยชดเชยต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปีนี้คาดว่าสัดส่วนการส่งออกของบริษัทคาด่าจะไม่ต่ำกว่า 70% หรือทำได้ราว 71-72% โดยตลาดต่างประเทศมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่เติบโตขึ้นทั้งในเกาหลี ฟิลิปปินส์ ส่วนตลาดสหรัฐและยุโรปก็ยอดขายที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน

*ไตรมาส 2/65 โตดี

ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2565 มองว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2565 โดยทั้งปี 2565 บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโต 15% จากปีก่อนที่ 3.44 พันล้านบาท เพราะธุรกิจมีการทำตลาดลูกค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการออกสินค้าใหม่ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ในหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่ม Functional Drink ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมาก ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มกัญชง-กัญชา อยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2565 นี้ อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และบริษัทเองก็มีการเติบโตสอดคล้องกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม

ขณะเดียวบริษัทยังวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงปี 2568 เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในระยะยาว โดยมองความเป็นไปได้ทั้งในการขยายการลงทุนเอง รวมไปถึงการสร้างการเติบโตจากการซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งปัจจุบันก็มีการเจราอยู่บ้างแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป

โดยบริษัทเชื่อว่าแผนยุทธศาสตร์ที่บริษัทตั้งไว้จะสามารถเติบโตได้ตามแผนที่คาดว่ารายได้จากการดำเนินธุรกิจเติบโต 3 เท่า (Triple Growth) หรือแตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) จากปี 2564 ที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ ภายใต้การเติบโตจากธุรกิจในส่วนต่างๆ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยสร้างการเติบโตจากตลาดต่างประเทศ (International Business) นับเป็นส่วนที่มีความสำคัญ และสร้างอิมแพ็กมากที่สุดของแผนยุทธศาสตร์ครั้งนี้ โดยเซ็ปเป้ตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ย 15-20% ผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น ปูพรมเต็มพื้นที่ยิ่งกว่าเดิม

*เป้าหมายใหม่ 43 บาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SAPPE ว่ามุมมองบวกจากภาพธุรกิจระยะกลางยาวมากขึ้น หลังบริษัทเผยเป้าระยะยาวครั้งแรกเติบโต 3เท่าภายใน 5 ปีสู่ยอดขาย 10,000 ล้านบาท (CAGR+22%) จาก Fundamental Shift ในตลาดต่างประเทศที่อยู่ช่วงเก็บเกี่ยวจากการทำตลาดมานาน และแรงกดดันด้านต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงจากราคาน้ำมันที่ผ่อนคลายลงขณะที่บริษัทมีแผนปรับราคาสินค้าขึ้นชดเชยโดยทยอยปรับเพิ่มตั้งแต่ปีนี้ถึงปีหน้า

ขณะที่คาดกำไรสุทธิไว้ที่ 582 ล้านบาท (เติบโต 40%) และรายได้อยู่ที่ 4,477 ล้านบาท (เติบโต 30%) จาก 1.ยอดขายในเอเชียที่มีประเทศ Top 3 อยู่ (ฟิลิปปินส์, เกาหลี, อินโด) เริ่มฟื้นตัวชัดเจน 2.ยอดขายต่างประเทศที่เติบโตต่อเนื่องจากการขยายฐานตลาดใหม่ในโซน Europe, Middle East,US โดยหลายประเทศอยู่ในจุดเร่งยอดขายจากการขยายจุดจัดจำหน่าย 

3.บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศที่คาดจะออกราว 10 SKUs กับเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายมากขึ้น โดยเบื้องต้นผลประกอบการ ไตรมาส 2/2565-ไตรมาส 3/2565 จะทำ New High ได้ต่อเนื่องและโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม โดยคาดกำไร ไตรมาส 2/2565 อยู่ราว 170 ล้านบาท (เติบโต 34% จากช่วงเดียวกันปีก่อน, +10% จากไตรมาสก่อนหน้า ) เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมเข้า High Season

โดยระยะสั้นยังได้รับประโยชน์จากบาทอ่อนและต้นทุนวัตถุดิบที่มีการสต๊อกไว้ถึง ไตรมาส 3/2565 แล้วและคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ T ราคาเป้าหมาย 43 บาท อิง P/E 23 เท่า ปรับขึ้นจาก 21 เท่าจากแผนธุรกิจที่ปรับตัวได้ดีขึ้น ทั้งนี้ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 25-30 เท่า นอกจากนี้บริษัทยังได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน (ทุกๆ1 THB/USD ที่เพิ่มขึ้น จะเป็นผลบวกต่อกำไรสุทธิประมาณ 7-10%) กับค่าขนส่งที่ปรับผ่อนลง