รีเซต

ถอดรหัส Buffett – Soros ซื้อหุ้น Alphabet จุดเริ่มต้นรอบใหญ่ของ AI?

ถอดรหัส Buffett – Soros ซื้อหุ้น Alphabet จุดเริ่มต้นรอบใหญ่ของ AI?
TNN ช่อง16
24 พฤศจิกายน 2568 ( 18:17 )
6

ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวใหญ่ที่สุดของวงการการลงทุนคงหนีไม่พ้นการเข้าซื้อหุ้น Alphabet (Google) ของบริษัท Berkshire Hathaway ของ Warren Bufett และ Soros Fund Management ของ Goerge Soros สองนักลงทุนระดับโลกในช่วงไตรมาส 3/2025 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดกำลังมีการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นว่า อุตสาหกรรม AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่หรือไม่

การเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้บอกอะไรกับนักลงทุน? หากมองให้ลึกลงไปถึงกรอบแนวคิดของ Buffett และ Soros จะพบว่าทั้งคู่ต่างก็มีกฎเหล็กที่เข้มข้นของตัวเองและจะเข้าลงทุน ก็ต่อเมื่อหุ้นตัวนั้นผ่านเงื่อนไขเท่านั้น

ฝั่ง Warren Buffett ผู้ยึดปรัชญาการลงทุนระยะยาวในสไตล์ VI (Value Investor) เน้นซื้อธุรกิจที่มี “คุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม” จะสนใจหุ้นที่มีโมเดลธุรกิจแข็งแกร่งและมีกำไรแล้ว แม้ว่า Buffett จะเคยให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าไม่เข้าใจธุรกิจเทคโนโลยี แต่ Alphabet ในวันนี้เข้ากรอบสเปกแทบทุกข้อ เพราะมี Platform ที่คนทั่วโลกต้องใช้งานเป็นประจำทุกวันอย่าง Google YouTube ตลอดจนระบบปฏิบัติการ Android ที่สร้างกระแสเงินสดมหาศาลให้กับบริษัทโดยใช้เงินลงทุนไม่สูง และยังมีธุรกิจที่เป็น New s-curve อย่าง AI (Gemini) และ Cloud ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและผลักดันยุคใหม่ของบริษัท ในขณะที่ ราคาที่ Berkshire เข้าซื้อโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ราว PE 20 เท่า ซึ่งถือว่า “ไม่แพง” เมื่อเทียบกับคุณภาพของกิจการ โดยการซื้อหุ้น Alphabet ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการลงทุนหุ้น Big tech ครั้งที่สามของ Berkshire ต่อจากหุ้น Apple ในปี 2016 และ Amazon ในปี 2019 นัยยะที่ Buffett อาจกำลังส่งสัญญาณถึงนักลงทุน ก็คือ หุ้น AI บางส่วนยังราคาสมเหตุสมผลและยังมี Runway ให้เติบโตอีกมากในระยะยาว

ขณะที่ George Soros ซึ่งถือว่ามีสไตล์การลงทุนแบบ Growth & Momentum ตรงข้ามกับ Buffett โดยเน้นภาพใหญ่ด้านเศรษฐกิจมหภาค โฟกัสการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลก และดูแนวโน้มราคาหุ้นเป็นหลัก การที่ Soros เดินหน้าเข้าซื้อหุ้น Alphabet ในช่วงเวลาเดียวกับ Buffett รวมถึงหุ้นกลุ่ม AI ตัวอื่นๆ เช่น Amazon Microsoft และ Apple อาจสะท้อนว่า AI กำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมผู้ชนะในโลกเศรษฐกิจยุคใหม่และราคาหุ้นกลุ่มนี้กำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น

หากพิจารณาอุตสาหกรรม AI ในภาพรวม จะพบว่า AI คือเทคโนโลยีที่โตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนับตั้งแต่มีการเปิดตัว อัตราการใช้งาน (Adoption rate) ของ Generative AI ได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51% อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 3 ปี เทียบกับเทคโนโลยีอย่าง PC และ Internet ที่ต้องใช้เวลานานกว่าถึงสองเท่า จึงจะมีอัตราการใช้งานสูงในระดับเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่า AI เริ่มถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายอย่างรวดเร็วทั้งในระดับองค์กรและระดับผู้บริโภค

นอกจากนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุนใน AI (AI CapEx) ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Hyperscaler) ทั้ง Google Amazon Microsoft META และ Oracle ก็ได้เร่งตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากระดับ 1.54 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2023 ขึ้นมาแตะระดับ 3.68 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2025 เติบโตขึ้นกว่าเท่าตัว สอดคล้องกับอัตราการใช้งาน โดย Goldman Sachs ยังคาดการณ์ว่าปี 2026 เม็ดเงินดังกล่าวจะพุ่งขึ้นแตะระดับ  4.32 แสนล้านดอลลาร์ หรือเติบโตขึ้นอีกราว 17% ที่สำคัญคือ บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้พึ่งการกู้ยืมในระดับที่มีความเสี่ยงและยังมีกระแสเงินสดอิสระที่เป็นบวก

แม้หุ้นกลุ่ม AI จะมีสัญญาณความร้อนแรงหลายอย่างที่ดูคล้ายกับภาวะฟองสบู่ แต่ในครั้งนี้ มีหลายปัจจัยที่แตกต่างจากช่วงฟองสบู่ Dotcom ในปี 2000 ยกตัวอย่างเช่น  

 

  1. ระดับ Forward PE ของหุ้นกลุ่มนำตลาดอย่าง Magnificent 7 ซึ่งอยู่ในระดับราว 27 เท่า ต่ำกว่า PE ของหุ้นกลุ่มผู้นำตลาดในช่วง Dotcom ปี 2000 ที่ระดับ 50 เท่า
  2. อัตราส่วน PEG Ratio ของหุ้นกลุ่ม IT ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1 เท่า ต่ำกว่าช่วงฟองสบู่ Dotcom ปี 2000 ที่ค่า PEG ของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในระดับที่สูงมากถึง 3 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า Valuation ของหุ้นกลุ่ม IT ยังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลเทียบกับการเติบโตของกำไร
  3. อัตราส่วนเงินลงทุน ต่อ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CapEx / Operating Cash Flow) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับราว 30% ต่ำกว่าช่วงฟองสบู่ Dotcom ปี 2000 ที่ 80% สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยียังมีสถานะทางการเงินที่ดีกว่าในอดีต

 

ดังนั้น การเข้าซื้อหุ้นพร้อมกันของนักลงทุนชั้นนำระดับโลกในครั้งนี้ อาจไม่ได้สะท้อนแค่ความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำว่าอุตสาหกรรม AI กำลังอยู่ในช่วงต้นของรอบการเติบโตครั้งใหญ่ ซึ่งบริษัทผู้นำตลาดมีทั้งโครงสร้างรายได้ที่แข็งแรงและวินัยทางการเงินที่ดี อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจาก Adoption rate ที่โตเร็วกว่าทุกเทคโนโลยีในอดีต ทำให้ความเสี่ยงฟองสบู่แตกยังอยู่ในระดับจำกัด สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคือ การแยกให้ชัดว่า หุ้น AI ตัวไหนคือ “ผู้ชนะตัวจริง” และตัวไหนแค่ “มาแรงชั่วคราว” เพราะโอกาสครั้งใหญ่ มักเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังตั้งคำถามนั่นเอง      

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง