อจ.นิติศาสตร์ มธ. ย้ำปมกระเป๋าใช้กันเอง ไม่ผิด กม.เลือกตั้ง เชื่อ กกต.จะระวัง
ข่าววันนี้ 30 พฤษภาคม ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเสนอรายงานผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) และสมาชิกกรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เข้าสู่ที่ประชุมในวันที่ 30 พฤษภาคม เพื่อพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง โดยเป็นการนำเสนอผลคะแนนในส่วนของผู้บริหาร จำนวน 1 ตำแหน่ง และสมาชิก จำนวน 50 ตำแหน่ง ทั้งนี้ เรื่องร้องเรียนผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.และผู้สมัคร ส.ก.มีทั้งสิ้น 24 เรื่อง โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ถูกร้องเรียน 2 ประเด็น คือกรณีการจัดทำป้ายหาเสียงเข้าข่ายให้ เสนอให้ ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และการพูดลักษณะดูถูกระบบราชการ
ผศ.ดร.ปริญญาระบุว่า ป้ายหาเสียงทำกระเป๋าสำหรับใช้กันเองในทีมไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ตามที่มีผู้ไปร้องต่อ กกต.ว่าป้ายหาเสียงทำกระเป๋าของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะเป็นการให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้เป็นตัวเงิน เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกตนเองนั้น เรื่องนี้ความจริงแล้วไม่มีประเด็นที่ซับซ้อนอะไรครับ เพราะการที่จะผิดมาตรา 65 (1) ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 จะต้องเป็นการ “จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด” เพื่อ “จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง” ซึ่งก็คือการห้ามซื้อเสียงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งของก็ตาม
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า แต่ทั้งนี้เนื่องจากคุณชัชชาติได้ประกาศต่อสาธารณะเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในเฟซบุ๊กว่า “ไม่อยากให้ไวนิลป้ายหาเสียงกลายเป็นขยะหลังการเลือกตั้ง เราจึงมีแผนนำกลับมาหมุนเวียน (Recycle) โดยตัดเย็บเป็นกระเป๋าหรือผ้ากันเปื้อนไว้ใช้ต่อกันเองในทีม” ดังนั้น ในเมื่อเป็นการทำเอาไว้ใช้กันเองในทีม ไม่ใช่แจกประชาชนเพื่อจูงใจให้เลือกตนเอง จึงไม่ใช่การกระทำที่ผิดมาตรา 65 (1) ครับ
“ส่วนในประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่าไม่มีการไปแจ้งความคนที่เก็บป้ายไป แสดงว่ามีเจตนาที่จะให้มาตั้งแต่ต้น เรื่องนี้เป็นคนละส่วนกันครับ เพราะต้องดูเจตนาในตอนที่ทำ ซึ่งได้มีการประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า ‘ใช้กันเองในทีม’ แม้ว่าป้ายหาเสียงจะเป็นทรัพย์สินของผู้สมัคร แต่ที่ผ่านมาการเก็บป้ายหาเสียงหลังเลือกตั้งไปใช้ เช่น เอาไปมุงหลังคา ปูนั่ง บังแดด ฯลฯ ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เคยมีปัญหาอะไร เพราะเมื่อหาเสียงเสร็จแล้วป้ายหาเสียงก็กลายเป็นขยะ หรือของที่ทิ้ง หรือไม่ใช้แล้ว
“การเรียกร้องให้ไปแจ้งความจับกุมประชาชนในเรื่องเรื่องนี้ด้วยข้อหาลักทรัพย์ซึ่งมีโทษทางอาญาจึงเป็นเรื่องที่ออกจะเกินไปมาก แล้วจริงๆ ก็ไม่ได้มีกฎหมายตรงไหนเขียนไว้เลยว่าเจ้าทรัพย์มีหน้าที่ต้องไปแจ้งความ ทั้งนี้ มาตรา 65 (1) ของพระราชบัญญัติเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา โดยมาตรา 126 กำหนดโทษจำคุกหนึ่งปีถึง 10 ปี และตัดสิทธิเลือกตั้งถึง 20 ปี การพิจารณาจึงต้องใช้หลักกฎหมายอาญาอย่างเคร่งครัดคือต้องดูเรื่องเจตนาในตอนทำป้ายเป็นสำคัญ การไม่ไปแจ้งความไม่มีผลไปเปลี่ยนเจตนาในตอนทำป้ายครับ” ผศ.ดร.ปริญญากล่าว
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวด้วยว่า มีอีกหนึ่งเรื่องที่อยากกล่าวถึงคือเรื่อง การไปร้องทุกข์กล่าวโทษผู้สมัครทั้ง ผู้ว่าฯกทม. และ ส.ก.หลายคนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ากระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน เนื่องจากประกาศ กกต.กำหนดให้เก็บป้ายภายใน 3 วันหลังเลือกตั้ง แต่ผู้สมัครจำนวนหนึ่งยังเก็บป้ายไม่หมดจึงผิดมาตรานี้ ผมเข้าใจว่าผู้ที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษอาจจะสับสนระหว่าง ประกาศ กับ คำสั่ง ซึ่งไม่เหมือนกัน ประกาศมีลักษณะให้ปฏิบัติตามเป็นการทั่วไป ส่วนคำสั่งมีลักษณะเฉพาะเจาะจงให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำ หรือไม่กระทำการใด
“การไม่เก็บป้ายให้หมดภายใน 3 วัน เป็นการไม่ปฏิบัติตามประกาศ ไม่ใช่การขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน เรื่องนี้จะเป็นการขัดคำสั่งได้ก็ต่อเมื่อ กกต.ออกคำสั่งไปยังผู้สมัครที่ยังเก็บป้ายไม่หมดให้เก็บป้ายให้หมด แล้วผู้สมัครคนใดไม่เก็บป้ายให้หมด นั่นแหละครับถึงจะผิดมาตรานี้” ผศ.ดร.ปริญญาระบุ
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า โดยสรุปผิดหรือไม่ก็ต้องว่าตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งนักกฎหมายที่ตามเรื่องนี้ก็ล้วนแต่เห็นตรงกันว่าป้ายหาเสียงทำกระเป๋าไว้ใช้กันเองในทีมไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้งครับ ด้วยความเคารพ ผมเชื่อว่า กกต.ท่านจะพิจารณาเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวัง และเพื่อที่เหตุการณ์แบบที่เกิดในปี 2562 ที่เขต 8 จังหวัดเชียงใหม่ ที่ กกต.ไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่สุดท้ายศาลเห็นว่าเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องและสั่งให้ กกต.ต้องชดใช้เงินให้กับผู้ชนะการเลือกตั้งถึง 64 ล้านบาท ไม่เกิดขึ้นอีกครับ