รัสเซียเผยถ้อยแถลงเป็นภาษาไทย กล่าวหาสหรัฐฯ ยัน พบวิจัยอาวุธชีวภาพในยูเครน เยอรมนีร่วมด้วย
เมื่อวันที่ 19 เมษายน สถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย เผยแพร่ บทสัมภาษณ์ มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ที่ให้สัมภาษณ์กับช่องทีวี RT ณ กรุงมอสโก เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2565 โดยกล่าวหาว่ามีการค้นพบกิจกรรมทางอาวุธชีวภาพในประเทศยูเครนมีรายละเอียดดังนี้
คำถาม: เป็นที่ทราบกันดีว่าในระหว่างการปฏิบัติการพิเศษทางทหารในประเทศยูเครน ทหารรัสเซียได้ค้นพบเอกสารใหม่เกี่ยวกับกิจกรรมทางอาวุธชีวภาพทางทหารในประเทศยูเครน คุณช่วยพูดถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้ไหม?
มาเรีย ซาคาโรวา: จากผลของปฏิบัติการพิเศษทางทหารในประเทศยูเครน กองทัพรัสเซียได้พบเอกสารที่ทำให้เกิดความกระจ่างมากขึ้นเกี่ยวกับโครงการอาวุธชีวภาพทางทหารที่ได้ดำเนินการโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐในประเทศยูเครน นักวิจัยในโครงการนี้ได้กำลังศึกษาเชื้อโรคร้ายแรงที่สุด ซึ่งเป็นเชื้อโรคทางชีวภาพที่มีศักยภาพในการทำอาวุธชีวภาพที่มีอยู่ตามธรรมชาติทั้งในยูเครนและรัสเซีย พวกเขายังค้นคว้าวิธีการแพร่กระจายโรคระบาดโดยอาศัยเชื้อโรคเหล่านี้ ขนาดของโครงการนั้นทำให้เกิดความชัดเจนว่าข้อมูลบางส่วนที่สำคัญและอาจจะสำคัญที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับโครงการทางทหารของอเมริกาที่ยังคงถูกปกปิดในประชาคมระหว่างประเทศ
วิกตอเรีย นูแลนด์ ปลัดกระทรวงกิจการการเมืองของสหรัฐ (Under secretary of State for Political Affairs) ได้กล่าวในการประชุมของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ว่ารัฐบาลวอชิงตันกำลังพยายามป้องกันไม่ให้มีการถ่ายโอนข้อมูลเอกสารการวิจัยบางส่วนจากห้องปฏิบัติการชีวภาพของยูเครนไปยังกองทัพรัสเซีย ในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7, 10, 17, 24 และ 31 มีนาคม 2565 นาย อีกอร์ คีรีลอฟ Igor Kirillov หัวหน้ากองกำลังป้องกันรังสี สารเคมีและอาวุธชีวภาพของกองทัพรัสเซีย ได้บรรยายถึงกิจกรรมทางทหารของสหรัฐฯ ในยูเครน โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับระหว่างปฏิบัติการทางทหารในประเทศยูเครน โดยกองทัพรัสเซีย ซึ่งเขาได้ทำข้อสรุปตามการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยในการศึกษาสารชีวภาพเหล่านี้ต่อไป
คำถาม: ทางการรัสเซียกำลังทำอะไรเพื่อดูว่าสหรัฐฯ จะให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านชีวภาพทางทหารกับยูเครน
มาเรีย ซาคาโรวา: รัสเซียได้เปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนในเวทีองค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ เพื่อเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ ให้คำอธิบายโดยละเอียด แต่คาดว่ารัฐบาลวอชิงตันเหมือนจะไม่พร้อมที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะในเรื่องข้อมูลสำคัญใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการทางชีวภาพทางทหารในประเทศยูเครน
ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าทำเนียบขาวคงคิดว่าการแสดงความก้าวร้าวเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด จึงได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อเพิ่มอีกโดยมีจุดประสงค์ที่การยืนยันความผิดพลาดของประเทศของเราเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาคมโลกต่อกิจกรรมของอาวุธชีวภาพทางทหารของสหรัฐในยูเครนนั้นว่าไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าหมอกควัน ซึ่งทางอเมริกากล่าวว่ามอสโกนั้นพยายามใช้เรื่องนี้เพื่อปกปิดการใช้อาวุธชีวภาพหรืออาวุธเคมีที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติการพิเศษทางทหารที่กำลังดำเนินไปโดยกองทัพรัสเซีย
ความพยายามของสหรัฐฯ ในการเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณชนจากปัญหาของห้องปฏิบัติการทางชีวภาพที่ควบคุมโดยสหรัฐฯ ในยูเครน และความรู้สึกนั้นได้จมลงใน “น้ำตื้นๆ” นี้แต่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำทางการเมืองของเยอรมนีอย่างไม่คาดคิด นักการเมืองชั้นนำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเยอรมนีจำนวนหนึ่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐเยอรมนี Olaf Scholz ได้ออกแถลงการณ์ที่เลียนแบบการเล่าเรื่องของสหรัฐฯ ในรูปแบบของการข่มขู่และคำเตือนที่ให้ความรู้สึกว่ามีความชอบธรรมโดยส่งตรงไปยังรัฐบาลรัสเซีย ท่าทีทางคำพูดเชิงรุกอย่างเป็นทางการของเบอร์ลินยังคงสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ดำเนินการมาเป็นเวลานานแล้วในบริบทของวิกฤตในยูเครน (ซึ่งไม่มีประโยชน์ในการจัดการอะไรในตอนนี้ โดยก่อนหน้านี้ได้เข้าข้างรัฐบาลเคียฟและนำข้อตกลงมินสค์ไปสู่ทางตันด้วย) พวกเขาได้ใช้คำพูดดูถูกอย่างชัดเจน และใช้วาทศิลป์ต่อต้านรัสเซียในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ประการแรก เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์สำคัญที่ก่อนที่กองทัพรัสเซียจะเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารครั้งนี้ เยอรมนีได้ร่วมกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาดำเนินกิจกรรมทางชีวภาพทางทหารอย่างจริงจังในยูเครนมานานหลายปีแล้ว และอาจจะยังคงทำเช่นนั้นต่อไป เราเชื่อว่านี่เป็นแรงกระตุ้นให้เยอรมนีมีความกระตือรือร้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศในสหภาพยุโรปอื่น ๆ ในการพยายามที่จะโยนแผนอาชญากรรมให้กับประเทศรัสเซียในเรื่องการใช้อาวุธชีวภาพและอาวุธเคมีในประเทศยูเครนและสาธารณรัฐโดเนตสค์และลูแกนสค์ (Donetsk and Lugansk people’s republics) ที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
คำถาม: มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมทางการทหารในเรื่องอาวุธชีวภาพของเยอรมนีในยูเครนหรือไม่?
มาเรีย ซาคาโรวา: เพื่อให้คุณเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น ดิฉันขออ้างอิงข้อเท็จจริงต่อไปนี้ว่า ตั้งแต่ปี 2556 ภายใต้ความช่วยเหลือของกระทรวงการต่างประเทศเยอรมัน รัฐบาลเยอรมันได้ดำเนินโครงการด้านความมั่นคงทางชีวภาพของเยอรมัน (GBP) ซึ่งรวมถึงโครงการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรวิจัยในต่างประเทศ ซึ่งยูเครนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการในปี 2557 ผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมันจากสถาบันจุลชีววิทยาแห่งกองทัพเยอรมัน (เมืองมิวนิก), สถาบัน Friedrich Loeffler Institute (Greifswald-Riems), สถาบัน Bernhard Nocht สำหรับเวชศาสตร์เขตร้อน (เมืองฮัมบูร์ก) และสถาบัน Robert Koch (เมืองเบอร์ลิน) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยเรื่องเชื้อชีวภาพที่อันตรายถึงชีวิต องค์กรเหล่านี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมภาคปฏิบัติ
จากข้อมูลของสำนักงานการต่างประเทศแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระยะที่สามของโครงการด้านความมั่นคงทางชีวภาพของเยอรมัน (GBP) จะมีผลบังคับใช้ในปี 2020-2022 เราสามารถดูได้จากเอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณะซึ่งมีเป้าหมายทางด้านเทคนิคต่อโครงการด้านความมั่นคงทางชีวภาพของเยอรมัน (GBP) ได้ระบุไว้ถึงการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองด้านโรคระบาดในประเทศที่สาม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีบิ๊กดาต้า (Big Data) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศหุ้นส่วนในการจัดการสารทางชีวภาพที่เป็นอันตราย
สถาบันสัตวแพทยศาสตร์การทดลองและคลินิกในเมืองคาร์คอฟได้กลายมาเป็นสถาบันจุลชีววิทยาคู่สัญญาระหว่างยูเครนกับกองทัพเยอรมันมาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเราทราบมาจากข้อมูลของตัวสถาบันเอง โดยทั้งสองสถาบันได้ร่วมมือกันภายใต้โครงการของประเทศยูเครน-เยอรมันที่มีชื่อว่าความคิดริเริ่มเกี่ยวกับความปลอดภัยทางชีวภาพและการป้องกันทางชีวภาพในการจัดการความเสี่ยงจากสัตว์สู่คน ณ พรมแดนนอกของสหภาพยุโรป ความจริงที่ว่าเป้าหมายอย่างเป็นทางการของโครงการคือ พัฒนาการป้องกันและความมั่นคงทางชีวภาพในยูเครน โดยเฉพาะทางตะวันออกของประเทศ ทำให้เกิดคำถามซึ่งนักชีววิทยาทางทหารชาวเยอรมันมองว่าชายแดนใดเป็นพรมแดนที่หมายถึง ใช่พรมแดนรัสเซีย – ยูเครนหรือไม่?
สถาบันจุลชีววิทยาอ้างว่าโครงการนี้เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อการร้ายทางชีวภาพในยูเครนท่ามกลางการสู้รบที่ไม่รู้จักจบสิ้นในภูมิภาคตะวันออกของประเทศนั้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีการส่งข้อความที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมที่เป็นไปได้ของสาธารณรัฐโดเนตสค์และลูแกนสค์ (Donetsk and Lugansk people’s republics) ในแผนการตั้งต้นสำหรับการใช้อาวุธชีวภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตในระดับสากล ในการทำเช่นนั้นกองทัพเยอรมันจงใจข่มขู่คู่หูยูเครนของพวกเขามาเป็นเวลานานและในความเป็นจริง ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางชีวภาพของยูเครนมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอในการประชุมด้านการป้องกันทางชีวภาพทางการแพทย์ที่จัดขึ้นเป็นประจำโดยสถาบันจุลชีววิทยาแห่งกองทัพเยอรมัน
เห็นได้ชัดว่าเพื่อป้องกันการโจมตีทางชีวภาพที่อาจเกิดขึ้นนั้นมีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาสารชีวภาพที่อาจจะสร้างขึ้นมาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือจำเป็นต้องทำการวิจัยในด้านอาวุธชีวภาพหรืออาวุธเคมี กองทัพเยอรมนี (AFG) มีความรู้และทักษะการปฏิบัติที่เพียงพอในด้านนี้ เห็นได้จากเหตุการณ์อื้อฉาวที่เกิดขึ้นจากการวางยาพิษอย่างลึกลับของนาย Alexey Navalny ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเภสัชวิทยาและพิษวิทยา ซึ่งเป็นสถาบันทางทหารที่เป็นพันธมิตรกับสถาบันจุลชีววิทยา (AFG) ได้ตรวจพบสารพิษอย่างรวดเร็วในร่างกายของชาวรัสเซียและพบร่องรอยของสารพิษบางอย่างที่ NATO ระบุไว้ในตระกูล Novichok ความเชี่ยวชาญระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าหาก ข้อความทั้งหมดถูกต้องตามข้อเท็จจริงจะแสดงให้เห็นว่า AFG สามารถสังเคราะห์สารพิษได้อย่างอิสระ รวมถึง สารพิษ Novichok ที่มีชื่อเสียง รวมถึงวิธีการในการระบุลักษณะของมัน
สถาบัน Friedrich Loeffler ของเยอรมนีซึ่งรับผิดชอบศูนย์การศึกษาไวรัสที่อันตรายที่สุดและสถาบัน Zoonotic infections on the Baltic Island of Riems รักษาความร่วมมือกันกับสถาบันวิจัยในห้องปฏิบัติการและความเชี่ยวชาญด้านสัตวแพทย์และสุขาภิบาลแห่งรัฐยูเครน ในกรุงเคียฟ (State Scientific Control Institute of Bio-Technology and Strains of Microorganisms และสถาบันสัตวแพทยศาสตร์เชิงทดลองและคลินิก (Kharkov) ที่ร่วมมือกันควบคู่ไปกับ AFG Institute of Microbiology ในยูเครน สถาบัน Friedrich Loeffler Institute ได้ให้ความสำคัญกับโรคไข้เลือดออกในไครเมีย-คองโก นักวิทยาศาสตร์โซเวียตค้นพบมันเป็นครั้งแรกในดินแดนไครเมียรัสเซียเมื่อปี 1944 มีเอกสารหลักฐานว่าทางสถาบันฯ ได้มอบหมายให้ยูเครนเก็บตัวอย่างค้างคาวและเชื้อต่างๆ ที่ถูกย้ายไปยังเกาะ Riems ที่กล่าวถึงข้างต้นภายใต้ข้อตกลงที่มีอยู่
สถาบัน Bernhard Nocht เวชศาสตร์เขตร้อนได้เน้นกิจกรรมในยูเครนเกี่ยวกับไข้ที่อันตรายอย่างยิ่ง เช่น Denge, Chikungunya, West Nile และ Usutu เป็นต้น
ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมทางทหารของเยอรมนีในยูเครนนี้ยังห่างไกลจากความครบถ้วนสมบูรณ์ ยังไม่สามารถตัดออกได้ว่าในขณะที่ปฏิบัติการทางทหารพิเศษดำเนินไป กองทัพรัสเซียจะค้นพบเอกสารเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ตามรายงานที่ได้รับการยืนยัน เยอรมนีได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับงานด้านความมั่นคงทางชีวภาพกับพันธมิตรชาวอเมริกัน ที่สร้างเครือข่ายห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาอย่างน้อย 30 แห่งในยูเครน นอกจากกิจกรรมอื่นๆ ของพวกเขาแล้ว พวกเขายังมีส่วนร่วมในการวิจัยที่เป็นอันตรายอีกด้วย
เราขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของเยอรมนีหยุดเผยแพร่ข้อกล่าวหาเท็จเกี่ยวกับเจตนาของประเทศของเราในการใช้อาวุธต้องห้ามโดยกฎหมายระหว่างประเทศโดยทันที เราเชื่อว่าข้อความดังกล่าวสามารถใช้เพื่อผลักดันกลุ่มนีโอนาซีให้ก่อการยั่วยุ และเบอร์ลินเองจะต้องแบ่งความรับผิดชอบต่อผลจากการกระทำของพวกเขา